การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) สัญจร ที่จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 29 พ.ย. 67 เห็นชอบข้อเสนอการปรับเพิ่มเบี้ยคนพิการและเบี้ยผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ โดยให้ดำเนินการประกาศใช้
ก่อนหน้านี้ มีการเสนอปรับเพิ่มเบี้ยคนพิการและผู้สูงอายุ เพราะอัตราเดิมมีการใช้มานานไม่มีการปรับเพิ่ม ในขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นและคนพิการและผู้สูงอายุที่มีฐานยากจนประสบปัญหามากขึ้น ซึ่งมีการเสนอให้ปรับเพิ่มแบบถ้วนหน้า 1,000 บาท และบางข้อเสนอให้ปรับเพิ่มถึง 3,000 บาท เป็นระดับเส้นความยากจน
สำหรับการปรับเพิ่มเบี้ยคนพิการจะมีการปรับเป็นแบบ “ถ้วนหน้า” จากเดิมเคยได้เดือนละ 800-850 บาท ปรับเป็นอัตราดียว 1,000 บาท
ผู้สูงอายุ ปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แบ่งตามขั้นอายุเดิม โดยจะมีการปรับทุกขั้นอายุเดือนละ 100-250 บาท โดยปรับเพิ่มมากขึ้นเมื่ออายุสูงขึ้น ดังนี้
- อายุ 60-69 ปี เป็นเดือนละ 700 บาท จาก 600 บาท
- อายุ 70-79 ปี เป็นเดือนละ 850 จาก 700 บาท
- อายุ 80-89 ปี เป็นเดือนละ 1,000 บาท จาก 800 บาท
- อายุ 90 ปีขึ้นไป เป็นเดือนละ 1,250 บาท จาก 1,000 บาท
วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ระบุว่าครม.เห็นชอบข้อเสนอ “การพัฒนาหลักประกันบริการทางสังคมแก่กลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน” ของคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (ก.ส.ค.) ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการ
สาระสำคัญของข้อเสนอดังกล่าว จำแนกตามกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มเด็กและเยาวชน ปรับฐานกลุ่มเป้าหมายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นการให้เงินอุดหนุนแบบถ้วนหน้าโดยไม่ต้องมีการคัดกรองรายได้ของครอบครัว (เดิมครัวเรือนต้องมีสมาชิกที่มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี) เพื่อให้ครอบคลุมและทำให้เด็กได้รับความช่วยเหลือแบบถ้วนหน้า ไม่ตกหล่น และขยายอายุของเด็กให้ครอบคลุม เริ่มจากเด็กในครรภ์ตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 6 ปี (เดิมตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 ปี) ได้รับเงินในอัตรา 600 บาท/คน/เดือน (เท่าเดิม) เพื่อเป็นหลักประกันว่าเด็กทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แม้ครอบครัวจะมีรายได้ลดลง
พัฒนาระบบการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีความหลากหลาย โดยปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวกับการศึกษา เพื่อขยายระยะเวลาให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษา เป็นเวลา 15 ปี รวมถึงการพัฒนาการการศึกษาทั้งในส่วนของหลักสูตร และการเรียน การสอนให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างหลากหลายและมีคุณภาพมากขึ้นอีกทั้งในกรณีเด็กที่หลุดออกจากระบบในช่วงส่งต่อการศึกษา ควรมีสวัสดิการในการแนะแนวอาชีพและให้คำปรึกษา
กลุ่มผู้สูงอายุ ปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได อายุ 60-69 ปี เดือนละ 700 บาท อายุ 70-79 ปี เดือนละ 850 บาท อายุ 80-89 ปี เดือนละ 1,000 บาท และตั้งแต่อายุ 90 ปีขึ้นไปเดือนละ 1,250 บาท เพื่อให้เพียงพอต่อค่าครองชีพของผู้สูงอายุในสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งมีการส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ของชุมชน และส่งเสริมอาชีพและการจ้างงานผู้สูงอายุที่เหมาะสม
กลุ่มคนพิการ ปรับเบี้ยความพิการให้สอดคล้องกับค่าครองชีพเป็น 1,000 บาทแบบถ้วนหน้า โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการนำคนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการ สามารถเข้าถึงสิทธิได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียมและเป็นธรรม , การส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนพิการเพิ่มมากขึ้น และ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนพิการ
กลุ่มแรงงาน ยกระดับการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและขยายสิทธิประกันสังคมที่ตรงตามความต้องการของแรงงานนอกระบบ และการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ ยกระดับทักษะ เทคโนโลยีสารสนเทศและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องดิจิทัล เพื่อให้การทำงานของลูกจ้างตอบสนองต่อความต้องการของสถานประกอบกิจการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด
สวัสดิการสำหรับครอบครัว พัฒนาแนวทางสวัสดิการบริการสนับสนุนครอบครัว โดยให้ความสำคัญกับการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมกับรูปแบบของครอบครัวที่แตกต่างกัน และออกแบบสวัสดิการที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของครอบครัวแต่ละประเภท เพื่อส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวสามารถเข้าถึง ได้รับสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง:
เคาะขึ้น “เบี้ยผู้สูงอายุ” จ่ายทุกคน 1,000 บาท/เดือน
ฝันให้ไกลไปให้ถึง เบี้ยผู้สูงอายุถ้วนหน้า 3,000 บาท
อัตราบำนาญพื้นฐานที่เหมาะสม และข้อพิจารณาทางเศรษฐกิจของประเทศ