หลังรัฐประหาร 57 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 62 การเลือกตั้งครั้งนั้น มีความสำคัญจากระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียว ทำให้มีพรรคการเมืองจำนวนมากในสภา
ผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคพลังประชารัฐร่วมกับพรรคอื่นจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป
การเลือกตั้งครั้งที่สอง เกิดขึ้นในปี 66 ซึ่งการเลือกตั้ง 66 เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ ระบบบัตรสองใบ เพื่อเลือก ส.ส. รวม 500 คน ดังนี้
- ใบที่ 1 บัตรเลือก ส.ส. แบบแบ่งเขต : เลือกผู้สมัครในเขตนั้นๆ รวม 400 คน/เขต โดยคะแนนจะตัดสินว่าใครได้เป็น ส.ส. เขตทันที
- ใบที่ 2 บัตรเลือกพรรคการเมือง หรือ ปาร์ตี้ลิสต์: เลือกพรรคที่ชอบเพื่อนำคะแนนไปคำนวณหาจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ ปาร์ตี้ลิสต์ รวม 100 คน
ขณะที่ สูตรคำนวณใหม่ “หารร้อย” คือการนำเอาคะแนนรวมทุกพรรค ÷ 100 = คะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 ที่นั่ง
ผลการเลือกตั้ง66 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลง หลังจากพรรคก้าวไกล ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับ1 ได้รับเลือกตั้ง 151 คน และพรรคเพื่อไทยมาเป็นอันดับสอง แต่พรรคอันดับหนึ่งไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ด้วยกลไก รัฐธรรมนูญ60 ทำให้ ส.ว. ชุดพิเศษยังมีอำนาจร่วมเลือกนายกฯ ทำให้เกิดความซับซ้อนในการจัดตั้งรัฐบาล
การเลือกตั้ง 66 ได้สร้างความหวังให้กับประชาชนที่อยากเห็นการเมืองใหม่ จากผลการเลือกตั้ง พรรคคนรุ่นใหม่ อย่างพรรคก้าวไกล ชนะ โดยไม่มีการซื้อเสียงและมีหัวคะแนนธรรมชาติ และหลายเขตเลือกตั้ง ส.ส. บ้านใหญ่แพ้การเลือกตั้ง จนทำให้ความหวังที่จะเห็นการเมืองใหม่ ดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ แต่ การจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคก้าวไกล ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่ง นำโดย พิธาลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล จนต้องพรรคฝ่ายค้าน
การเลือกตั้ง 66 สร้างความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองมากน้อยแค่ไหน “Policy Watch Thai PBS“ พูดคุยกับ สติธร ธนานิธิโชติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองเลือกตั้ง 66 ประเมินเลือกตั้ง 69 อะไรคือ ความหวังของการเมืองไทย

เลือกตั้ง 66 การเมืองเปลี่ยนแค่ไหน ?
สติธร มองว่า การรับเลือกตั้ง 66 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลง และความหวังให้กับการเมืองไทย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม เพราะผลการเลือกตั้ง บอกชัดเจนว่าต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะหากแบ่งผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของไทยออกเป็นฝ่ายเสรีนิยม และฝ่ายอนุรักษ์นิยม จะเห็นว่าชัยชนะของการเลือกตั้ง 66 คือ ชัยชนะที่ฝ่ายต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงและการเมืองใหม่เกิดขึ้น แม้จะเป็นชัยชนะในเวลาสั้นๆก็ตาม
“ผลการเลือกตั้ง 66 มันดูดีกว่า ก่อนหน้านี้ คือ มันเห็นความหวัง ที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลง และได้เห็นปรากฏการณ์หลายอย่า จากการที่พรรคก้าวไกลที่ชนะเลือกตั้ง เช่นมันเกิดหัวคะแนนธรรมชาติ และเห็นว่าการเมืองแบบเก่าพ่ายแพ้ความคิดก้าวหน้า”
แต่น่าเสียดายว่า สิ่งเหล่านี้ คือความหวังในคืนที่มีการเลือกตั้ง และผลเลือกตั้งออกมาชนะเท่านั้น แต่เมื่อถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาลได้กระชากอาณมณ์คนเลือกตั้ง ทำให้การโหวตเลือกตั้งไปเพราะต้องการเห็นการเมืองใหม่ แต่ผลการเลือกตั้งมีความหวัง แต่ไม่มีความหมาย เพราะ สุดท้าย พรรคที่โหวตได้อันดับหนึ่ง ไปเป็น ฝ่ายค้าน
แม้การตั้งรัฐบาล จะถือเป็นการกระชากอารมณ์ครั้งแรก แต่คนส่วนใหญ่ยังเห็นว่าการตั้งรัฐบาลอาจจะยังพอทำให้การเมืองเดินหน้าได้ แม้พรรคอันดับหนึ่งที่ถือเป็นฝ่ายเสรีนิยม ไม่ได้ตั้งรัฐบาล แต่พรรคอันดับสอง คือพรรคเพื่อไทยได้ตั้งรัฐบาล ยังมีภาพลักษณ์ ภาพจดจำเก่าที่เคยทำผลงานเอาไว้ในการผลักดันนโยบายได้สำเร็จ และเคยเป็นความหวัง ของฝ่ายเสรีนิยมได้ตั้งรัฐบาล
“ความหวังของประชาชนยังไม่ได้หมด แม้พรรคอันดับ 1 ไม่ได้ตั้งรัฐบาล เพราะยังมีพรรคเพื่อไทบ ที่ถือว่าเป็นำนาน ในแง่ของการเป็นพรรคเชิงนโยบายขับเคลื่อนได้ เคยทำผลงานที่ทําให้เศรษฐกิจดูดี ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนรู้สึกมีความสุข แต่ปรากฏว่าแชมป์เก่าตลอดกาล กลับมาเป็นรัฐบาลไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้เหมือนเดิม นี้คือความผิดหวังครั้งที่สองของประชาชน”
สติธร มองว่า การขับเคลื่อนนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ไม่สามารถเดินหน้าได้หลายนโยบาย ไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ อาจจะหมายถึง สิ่งที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต อาจจะไม่เหมาะกับปัจจุบัน คือผลงานในอดีตไม่สามารถยืนยันความสำเร็จในปัจจุบันทำให้กระชากความหวังอารมณ์ ความรู้สึกที่ว่าเราต้องการเห็นการเมืองใหม่ การเมืองก้าวหน้าการเมืองเชิงอุดมการณ์ เชิงอุดมคติคงไม่เกิดขึ้นแล้ว
“การกระชากครั้งที่ 3 คือปิดเกมของฝ่ายเสรีนิยม เพราะนอกจากเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารได้ไม่ดีเท่าที่คนคาดหวัง และในทางการเมืองก็ล้มเหลวอีก เพราะรัฐบาลเกิดจากการตัดสินใจ ข้ามขั้วสลายขั้วกัน คู่ขัดแย้งในอดีตมาจับมือตั้งรัฐบาลกัน แต่บริหารได้ไม่ดี อุดมการณ์ก็ไม่ชัดเจน จนทำให้คนฝ่ายเสรีนิยมหมดหวังกับการเมืองที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง”
สร้างสมดุลใหม่ “อนุรักษ์นิยม: เสรีนิยม”
แม้ว่าผลลัพธ์การเลือกตั้ง 66 สร้างความผิดหวังให้กับฝ่ายที่เรียกว่า เสรีนิยมที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง และการเมืองใหม่ แต่ในมุมกลับกัน การเดินไปสู่การเลือกตั้ง 69 อาจจะเรียกว่า ภาวะปรับสมดุลท่างการเมืองระหว่าง เสรีนิยมก้าวหน้ากับฝ่ายอนุรักษ์นิยม
“เวลาเราพูดถึงการเมืองที่สมดุล มันต้องมีองค์ประกอบ 2 อย่างต้องไปด้วยกันคือฝ่ายที่ประชาชนตื่นตัว สนใจเข้าไปมีส่วนร่วม และอีกฝ่ายคือ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่การที่ประชาชนตื่นตัว มีความเข้มแข็ง หรือฝ่ายก้าวหน้า ต้องมีโครงสร้างทางสถาบันกติกา ต้องรองรับคามตื่นตัวดังกล่าวด้วย”
“การเลือกตั้งปี 66 มันสะท้อนว่าประชาชนตื่นตัวเข้มแข็ง แต่โครงสร้างกติกา มันไม่สามารถรองรับความตื่นตัวเข้มแข็งของประชาชนได้มันเลยกลายเป็นการเมืองที่ค่อนข้างจะเปราะบางไว้ เพราะเพราะกลไกเชิงสถาบันมันไม่รับกับพลังของประชาชนที่พร้อมระเบิด จนทำให้ประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงผิดหวัง”
การเลือกตั้ง 69 จะเริ่มปรับสมดุล เพราะ กติกามันไม่ได้เปลี่ยน โครงสร้างเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนกลายเป็น ความตื่นตัวสนใจของประชาชน ที่จะเปลี่ยนกระจัดกระจายมากขึ้น และทำให้ประชาชนกลุ่มที่อาจจะอนุรักษ์นิยมซึ่งไม่ได้มีคามหวังกับการเลือกตั้ง เพราะเลือกตั้งทุกครั้งผลการเลือกตั้งฝ่ายเสรีนิยมก็จะชนะ
แต่การเลือกตั้ง 69 จะกลับสู่จุดสมดุลอะไรบางอย่าง ซึ่งในความหมายคือ อาจจะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบสัก 20 กว่าปี ที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เป็นอนุรักษ์นิยม เห็นว่า พวกเขามีโอกาสชนะเลือกตั้ง เลือกรัฐบาล(อนุรักษ์นิยม)ที่พวกเขาอยากได้มาบริหารประเทศโดยที่อาจไม่ต้องพึ่งกลไกพิเศษ
“คนกลุ่มนี้มีความรู้สึกว่าเลือกตั้งทุกครั้ง พรรคที่เขาเลือกก็ไม่ชนะสักที แล้วก็เค้าจะรู้สึกว่าเค้าไม่ชอบการเลือกตั้ง คือเค้าปฏิเสธเลือกตั้ง ไม่เชื่อประชาธิปไตย รู้สึกว่านักการเมืองไม่ได้เรื่อง เขาต้องการผู้เชี่ยวชาญมาบริหารประเทศ ถ้ามีทหารเข้ามาจัดการให้มันเข้าที่เข้าทางเค้าโอเค แต่เลือกตั้ง 69 ทำให้คามรู้สึกพวกเขาเปลี่ยนไปเพราะพวกเขามีโอกาสชนะเลือกตั้ง”
สติธร เห็นว่า การเลือกตั้ง 69 ฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีความหวัง ชนะการเลือกตั้ง ทำให้เขารู้สึกว่าไปโหวตพรรคที่เค้าชอบแล้วเค้าอาจจะได้รัฐบาลจากการที่เค้าโหวตเลือกตั้งครั้งนี้
“ เลือกตั้ง 69 มันจะสลับกับชัยชนะ เพราะถ้าแบ่งคนออกเป็น 2 ฝั่ง ฝ่ายเสรีก้าวหน้า กับฝ่ายอนุรักษ์ ที่ผ่านมาผลการเลือกตั้งมันออกมา คือฝ่ายเดียวที่ก้าวหน้าชนะมาตลอดไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นใครนะ แต่ผมเชื่อว่าผลการเลือกตั้ง 69 ฝ่ายอนุรักษ์มีความหวังมากขึ้น”
ไม่เรียกร้องรัฐประหาร =ประชาธิปไตยไปต่อ
การเมือง หลังการเลือกตั้ง 66 แม้จะสร้างความผิดหวังกับฝ่ายที่ต้องการเห็นการเมืองใหม่ และการเปลี่ยนแปลงกติกา แต่ สติธร มองว่า ในทางการเมืองอย่างน้อยผลดีของการเมืองหลังเลือกตั้ง 66 คือ ไม่มีกระแสเรียกร้อง รัฐประหาร เพราะในเมื่อการเลือกตั้ง 69 กลายเป็นความหวังของอีกฝั่งในการชนะเลือกตั้ง การไม่เรียกร้องรัฐประหาร เท่ากับว่า ประชาธิปไตยเดินต่อไปได้ ไม่มีกลไกอื่นมาแทรกให้หยุดลง
“ผมคิดว่าอารมณ์ประมาณ เลือกตั้งเป็นความหวังของฝ่ายอนุรักษ์นิยม คือการสร้างสมดุลประชาธิปไตย หรือ มันเป็นอารมณ์ที่รักษาประชาธิปไตยให้เดินต่อไปได้ เพราะถ้าฝ่ายเสรีชนะอย่างเดียว จนฝ่ายอนุรักษ์เค้ารู้สึกว่าเลือกตั้งไปเค้าก็แพ้ทุกที เค้าก็จะปฏิเสธกติกาเลือกตั้ง ซึ่งการสร้างความสมดุลแบบนี้เกิดขึ้นในการเมืองระดับโลกทั้ง ยุโรป และสหรัฐอเมริกา”
นักการเมือง – พรรคการเมือง ต้องเปลี่ยนตัวเอง
สติธร ยังเห็นว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนับจากเลือกตั้ง 66 คือ นักการเมือง และพรรคการเมืองต้องเปลี่ยน จะเป็นนักการเมืองแบบบ้านใหญ่ อุปถัมภ์แบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป เพราะประชาชนผู้เลือกตั้งเปลี่ยนความคาดหวัง เขาอยากเห็นนักเมืองที่เข้ามาแก้ไขปัญหาจริง ทำงานจริง ไม่ใช่ นักการเมืองสไตล์บ้านใหญ่ โบราณ เลี้ยงกาแฟเลี้ยงขนมอย่างเดียว ต้องเป็นนักการเมือง พร้อมแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ทํางานได้จริง
ในขณะที่นักการเมืองแบบหัวก้าวหน้า ก็ต้องก้าวหน้าจริงก้าวหน้าทั้งความรู้ทั้งทักษะฝีมือไม่ใช่มาอวดวุฒิการศึกษาอย่างเดียว ดังนั้น เวทีนี้ต้องการของจริงไม่ต้องการของปลอม เพราะประชาชนผู้เลือกตั้ง คาดหวัง นักการเมืองที่เข้ามาทำงานจริง

นโยบายต้องหลากหลาย ตอบทุกโจทย์
ส่วนการเลือกตั้งที่เปลี่ยนมาสู่การแข่งขันในเชิงนโยบายมากขึ้นในทุกการเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่ในการเลือกตั้ง 69 สติธร มองว่า การแข่งขันกันในนโยบายของพรรคการเมืองเปลี่ยนแปลง มากขึ้น ไม่เสนอเพียงแค่นโยบายอย่างเดียวไม่ได้ต้องมีความหลากหลายและตอบโจทย์ในทุกปัญหาได้ จึงต้องนำเสนอนโยบายเป็นแพ็กเกจ ลงลึกว่าสามารถทำได้จริง
“การแข่งขันในเชิงนโยบายการเลือกตั้ง มันเปลี่ยนมาสักพัก มันมีการปรับตัว วันนี้พอพูดถึงนโยบาย ต้องครอบคลุมแล้วก็ลงลึก หมายความว่า ต้องมีแพ็กเกจนโยบายที่รับได้กันทุกปัญหา”
ดร.สติธร มองว่า นโยบายที่ประชาชนสนใจในขณะนี้ แบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ
- ชุดที่ 1 นโยบายที่ตอบโจทย์ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และอยากเห็นการปฏิรูปที่สามารถแก้ไขปัญหาระยะยาวได้
- ชุดที่ 2 ต้องมีนโยบายเชิง อุดมการณ์ เช่น ชาตินิยม ความรักชาติ มิติทั้งการต่างประเทศ ความมั่นคง และการมีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
- ชุดที่ 3 นโยบายที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเศรษฐกิจปากท้อง ความกินดีอยู่ดี
“ พรรคการเมือง ต้องมีนโยบายที่ตอบโจทย์ทั้ง 3 ชุด คือบางโจทย์มันไปตอบกลุ่มกลุ่มผู้ใช้แรงงาน บางโจทย์มันไปตอบกลุ่มมนุษย์เงินเดือน หรือ เด็กเยาวชน หรือ กลุ่ม ผู้สูงอายุดังนั้นต้องมีนโยบายหลากหลายต้องลงลึก จะเสนอนโยบายแบบฉาบฉวยเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว”
สติธร เห็นว่า การนำเสนอนโยบาย จะสะท้อนว่าพรรคไหนให้ความสำคัญและมีการทำนโยบายแบบจริงจังต่อเนื่อง โดยสามารถวัดได้จาก เวทีดีเบต ที่สื่อมวลชนจัด ซึ่งพรรคทีเสนอนโยบายและมีกระบวนการคิดกระบวนการรับฟังกระบวนการถกเถียงกันมาแล้วระดับหนึ่ง พอเวลานำเสนอเขาสารถอธิบายลงลึกได้ดี ซึ่งในกรณีนี้จะเห็นว่าพรรคประชาชนค่อนข้างได้เปรียบเพราะพรรคของเขามีกระบวนการจัดทำนโยบายมาอย่างเป็นระบบ
เลือกตั้ง69 กระสุน อาจจะมากกว่ากระแส
แม้การนำเสนอนโยบาย อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งของการเลือกตั้งแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกตั้ง 69 “กระสุน” อาจจะมากกว่า กระแส แต่การยิงกระสุนก็เปลี่ยนแปลงไปจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
“เวลาพูดถึงการเมืองระดับชาติ ถามว่ากระสุน มีควาสำคัญหรือไม่ ถ้าจะบอกว่าไม่มีเลย ผมว่ามันจะโลกสวยไปหน่อย เพียงแต่ว่าวันนี้เวลาพูดถึงกระสุน มันไม่ใช่กระสุนประเภทแบบว่าไปยิงหน้างาน ในคืนหมาหอน เหมือนที่ผ่านมา ยิงกระสุนแบบนั้น ไม่ได้อีกต่อไปกระสุนคือคุณต้องยิงต่อเนื่อง”
รูปแบบการยิงกระสุน การเลือกตั้ง 69 จึงเปลี่ยนแปลงไป มีการยิงต่อเนื่อง ก่อนการยุบสภา หรือจะต้องเริ่มยิงกระสุนนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เค้ารู้ว่าเค้าสอบตก แล้วเค้าคิดจะแก้มือในสมัยหน้า หรือแม้แต่เค้าสอบได้แล้ว ต้องการกลับเข้ามาในสมัยหน้า ก็ต้องเริ่มยิงกระสุนมาอย่างต่อเนื่อง
“การยิงกระสุนต้องทำให้เหมือนอยู่กับชีวิตประจำวัน นั่นแปลว่าคนยิงกระสุต้องมีความสามารถในยิง และการยิงกระสุนอย่างเดียวก็ยังไม่พอ ต้องมีกลไกรัฐ คุมการเมืองท้องถิ่น เพื่อที่จะใช้กลไกท้องถิ่นในการช่วยเหลือแก้ปัญหาประชาชน ทำให้ยิงกระสุนระดับล่าง แก้ปัญหาได้ในระดับชีวิตประจำวันได้”
ขณะที่เดียวกัน การยิงกระสุนต้องมีระดับนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาระดับชาติด้วย เพราะฉะนั้นการยิงกระสุนแบบเดิมของการเลือกตั้ง 69 อาจจะไม่ได้ผลทั้งหมด ที่ผ่านมาต้องมีการยิงกระสุนต่อเนื่อง มีกลไกรัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนด้วยเช่นกัน
การเลือกตั้ง 69 ไม่ใช่ความหวังใหม่ทางการเมือง
การเลือกตั้ง 69 เป็นความหวังใหม่ทางการเมืองหรือไม่ สติธร มองว่า คนเลือกตั้งมองการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยมองภาพใหญ่ หรือ การเมืองระดับชาติด้วย
ดังนั้นการเลือกตั้ง เขาไม่ได้มองแค่ ส.ส.เขต เขามองไปถึงใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี และหน้าตารัฐบาลจะเป็นแบบไหน
“ผมคิดว่า ประชาชนมองภาพใหญ่มากขึ้นกว่าการเลือกตั้งในอดีต การเลือกตั้งครั้งนี้เขามีจินตนาการ มีบัตรอยู่ 2 ใบ กา ส.ส.เขต แต่เขาจะคิดถึงผลลัพธ์หน้าตารัฐบาลจะประมาณไหน ใครคือนายกรัฐมนตรี ใครคือทีมงานของเขาที่จะมาเป็นรัฐมนตรี แล้วจะทำงานได้หรือไม่ ชุดนโยบายอะไร มันจะถูกขับเคลื่อนผลักดันได้ขนาดไหนนี้คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้”
ขณะที่ตัวชุดนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ กติกา อาจจะตัวชี้วัดผลคะแนนเลือกตั้ง เนื่องจากอารมณ์ของประชาชน ยังไม่ได้มีส่วนร่วมถึงขั้นต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่เชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่จ เห็นชอบให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในการออกเสียงประชาติแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้
ขณะที่ความหวังอยากเห็นรัฐบาลที่แตกต่างออกไปใน การเลือกตั้ง 69 สติธร บอกว่า อาจจะผิดหวัง เพราะผลการเลือกตั้ง 69 เราจะได้รัฐบาลหน้าตาคล้ายเดิม
แต่สิ่งที่ได้ คือ ประชาธิปไตย เดินไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยม เห็นว่าการเลือกตั้งทำให้พวกเขาได้รัฐบาลในแบบที่เขาอยากเห็น และจะทำให้การรัฐประหารไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะการเลือกตั้งทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้
และถ้าความหวังแบบนี้อยู่กับคน 2 ฝ่ายที่มีความเห็นทางการเมืองไม่เหมือนกันนั่นหมายถึงกลไกประชาธิปไตยจะเดินหน้าต่อไป และเชื่อว่า การเลือกตั้ง 69 น่าจะเป็นโอกาสของฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่จะพลิกมาชนะได้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
- ส่องนโยบายพรรคการเมือง ทุ่ม”ประชานิยม”ท่ามกลางปัญหาเสถียรภาพ
- Fact-Check Thailand 2026 รับมือข่าวลวงก่อนเลือกตั้ง-ประชามติ
- ส่องกม.ค้างสภาฯ นโยบายไหนไม่ได้ไปต่อ หลังยุบสภาฯ




