ปัจจุบันในประเทศไทยมีวัด 44,487 แห่ง รวมภิกษุสามเณร 290,143 รูป ซึ่งกำลังเผชิญวิกฤตศรัทธา จากข่าวทุจริตคอร์รัปชันภายในแวดวงพระสงฆ์ ที่ปรากฎขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- เดือน พ.ค. 2568 พระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตตินธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ถูกคดียักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท และพบว่าได้โอนเงินให้หญิงคนสนิทที่เป็นนายหน้าเว็บพนัน รวมกว่า 800 ล้านบาท
- เดือน มิ.ย.-ก.ค. 2568 พระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปต้องลาสิกขา หลังเกิดข่าวอื้อฉาวพัวพันกับการยักยอกเงินวัดและฟอกเงินร่วมกับสีกา กลายเป็นข่าวสะเทือนวงการผ้าเหลืองครั้งใหญ่
- เดือน ส.ค. 2568 พระราชวิสุทธิประชานาถ อลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ถูกดำเนินคดีทุจริตยักยอกเงินบริจาค และฟอกเงิน
หากย้อนไปไกลกว่านั้น คดีทุจริตในวงการสงฆ์ยังมีอีกหลายคดี
- พ.ศ. 2556 หลวงปู่ เณรคำ ฉัตติโก ขอรับเงินบริจาคสร้างพระแก้วมรกต (จำลอง) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมศิลปากร สร้างสถานที่พักสงฆ์วัดป่าขันติธรรมโดยไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นวัด และสร้างโรงพยาบาล โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขโครงการทั้งหมดสร้างไม่แล้วเสร็จและเงินบริจาคก็ถูกนำไปซื้อทรัพย์สินส่วนตัว
- พ.ศ. 2557-2561 เกิดคดี “เงินทอนวัด” กระจายไปตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ พระสงฆ์และเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกันยักยอกงบประมาณวัดไปใช้ในทางมิชอบ นำไปสู่การดำเนินคดีพระชั้นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่หลายราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท พระพรหมเมธี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามหนึ่งในผู้ต้องหาได้หลบหนีออกนอกประเทศและเดินทางกลับมาต่อสู้คดีใน พ.ศ. 2568
- พ.ศ. 2559 พระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกออกหมายจับในคดียักยอกฟอกเงินวัดจำนวนหลายร้อยล้านบาทร่วมกับลูกศิษย์ และร่วมกันรับของโจร
- พ.ศ. 2566 อดีตไวยาวัจกร (ผู้ที่ดูแลการเงินของวัดทำกิจธุระแทนพระสงฆ์) ลูกศิษย์คนสนิทของสมเด็จพระวันรัต อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ปลอมแปลงลายเซ็น โยกย้ายทรัพย์สินของวัดมาเป็นของตัวเองจำนวนมาก ในช่วงที่สมเด็จพระวันรัตอาพาธรักษาตัวที่ รพ.จุฬาฯ
- พ.ศ. 2566 พระอาจารย์คม อภิวโร หรือ พระวชิรญาณโกศล ทุจริตยักยอกเงินวัดป่าธรรมคีรี กว่า 180 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาคดีทุจริตในวงการสงฆ์ที่ผ่านมา พบว่ามีหลายรูปแบบ ได้แก่
- เจ้าหน้าที่รัฐและพระสงฆ์บางรูปเรียกรับเงินทอนจากงบประมาณที่เบิกให้วัด
- การจัดตั้งโครงการที่ไม่มีอยู่จริงหรือไม่ดำเนินการตามโครงการให้แล้วเสร็จ แต่เปิดรับเงินทำบุญ
- เงินที่ใช้ในวัดถูกนำมาใช้ส่วนตัว
- การฟอกเงินผ่านวัดหรือผ่านมูลนิธิวัด เช่น เจ้าหน้าที่รัฐนำเงินทอนวัดไปโอนให้ผู้อื่น หรือไปลงทุนทำธุรกิจเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินในรูปแบบอื่น หรือนำเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายมาถวายวัด หรือเป็นเจ้าภาพจัดสร้างวัตถุมงคล
เหตุใดวัดกลายเป็นแหล่งทุจริตคอร์รัปชัน
คอร์รัปชันที่เกิดขึ้นหลายครั้งสะท้อนถึงปัญหาการบริหารจัดการทางการเงิน ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลภายในแวดวงสงฆ์ ธารทิพย์ ศรีสุวรรณเกศ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เสนอว่า วัดมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใช้ฟอกเงิน เพราะ
- วัดมีจำนวนมาก กระจายทั่วพื้นที่ในประเทศ ยากที่จะดูแลกำกับทั่วถึง ยิ่งวัดมีมากเท่าไร ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นที่ฟอกเงิน
- วัดทุุกแห่งที่่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงาน พศ. จะได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ วัดต้องเขียนโครงการและงบประมาณขอสำนักงาน พศ. อนุมัติเงินสนุบสนุน ซึ่งจากการรวบรวมข้อมููลของสำนักงบ ประมาณ พ.ศ. 2556–2562 พบว่า เงินงบประมาณที่่ใช้จ่ายเป็นเงินอุุดหนุุนวัดทั่่วประเทศเฉลี่่ยมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี ด้วยจำนวนเงินมหาศาล อาจเป็นจุดเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่ที่อนุมัติงบประมาณใช้เป็นช่องทางทุจริต ดังที่เกิดกรณี “เงินทอนวัด”
- แต่ละวัดมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินสดจำนวนมากที่ยากต่อการตรวจสอบ ทั้งเงินบริจาค รายได้จากการสร้างเครื่องบูชาเช่าวัตถุมงคล ที่ธรณีสงฆ์ เงินกฐิน ผ้าป่า งานบวช งานศพ
- วัดขาดระบบการตรวจสอบการเงินที่รัดกุมเข้มงวด อยู่ในหน้าที่ของเจ้าอาวาส ที่อาจไม่ชำนาญในการจัดทำบัญชีการเงินและอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพฉวยโอกาส หรือการที่เจ้าอาวาสมอบหมายให้ผู้อื่นหรือไวยาวัจกรทำแทน ก็อาจทำให้ถูกหลอกลวงหรือยักยอกได้ง่าย
- บัญชีการเงินวัดขาดการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ สาธารณะชนเข้าไม่ถึงข้อมูลทางการเงินเพื่อตรวจสอบ การทำบัญชีของวัดยังไม่ได้มาตรฐานและไม่มีการบังคับส่งรายงาน เช่น ใน พ.ศ.2558 ที่มีวัดกว่า 41,000 แห่ง แต่มีวัดที่ส่งรายงานทางการเงินไม่ถึง 20,000 แห่ง หรือไม่ถึงร้อยละ 50 อีกทั้งสำนักงาน พศ. ยังขาดการตรวจสอบรายงานที่ส่งมา หรือตรวจสอบไม่ละเอียด
วัดและพระยังคงน่าเลื่อมใส หากแต่ยังไม่โปร่งใส
นอกจากนี้ ด้วยศรัทธาของญาติโยมที่มีต่อวัดและพระสงฆ์ ยังเป็นส่วนหนึ่งที่อาจทำให้วัดขาดความโปร่งใส และเกิดช่องโหว่คอร์รัปชันได้ เพราะไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบการใช้เงินของวัด มองว่าทำบุญไปแล้วก็แล้วแต่พระคุณเจ้าจะนำไปใช้ สุภอรรถ โบสุวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด กล่าวกับ Policy Watch ว่า
“เรื่องพระคอร์รัปชันไม่ได้เพิ่งจะเกิด แต่มีมายาวนานแล้ว และทำกันเป็นขบวนการกับฆราวาสและเจ้าหน้าที่ เพราะระบบตรวจสอบอ่อนแอ คนทำบุญก็เชื่ออย่างตาใสว่า ทําบุญแล้ว ได้บุญแล้ว จะเอาเงินไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของพระท่าน ไม่ได้อยากรู้ต่อ เหมือนสำนวน ชั่วชั่งชีดีชั่งสงฆ์ แต่เรื่องเพิ่งจะมาแดงในช่วงนี้เพราะว่า ญาติโยม ประชาชน ตำรวจ สื่อมวลชน ร่วมกันจับพิรุธ สืบสวนสอบสวน”
การขาดการตรวจสอบนี่เองที่ทำให้วัดใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ ไม่เป็นไปตามแคมเปญที่ได้บอกบุญไว้ เช่นหลวงพ่อตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอช.ไอ.วี. ที่ไม่มีอาชีพ แต่เอาไปปล่อยกู้ หรือไปสร้างสนามฟุตบอลแทน ถือว่าทําผิดวัตถุประสงค์ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ในกรณีที่วัดใช้ที่ดินวัดทำที่จอดรถ หรือตลาด ถือว่ายังพอเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
นอกจากนี้ สุภอรรถ โบสุวรรณ ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใดบางวัดตั้งมูลนิธิ ทำให้วัดหนึ่งมีทั้งบัญชีมูลนิธิ บัญชีวัด บัญชีหลวงพ่อ บางวัดก็พบว่ามีหลายมูลนิธิ ดังนั้นสังคมต้องตั้งคำถามว่า ทำไมวัดหนึ่งวัดถึงต้องการมูลนิธิจำนวนมากขนาดนั้น
และอีกคำถามที่ควรตามมาก็คือ ในเมื่อวัดต้องยื่นบัญชีต่อสำนักงาน พศ. และมูลนิธิของวัดก็ต้องยื่นรายงานและบัญชีต่อกรมการปกครองทุกปีเช่นกัน รายงานและบัญชีเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบจริงจังมากน้อยเพียงใด ได้ตรวจสอบรูปแบบอื่นนอกจากรายงานหรือไม่ ว่ามูลนิธิได้ทำอะไรจริงจังไปแล้วบ้าง หรือดูเฉพาะเอกสารรายงานที่วัดส่งมาเท่านั้น ถ้าดูเฉพาะเอกสารรายงานก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้
วัดในฐานะนิติบุคคลที่ยังตรวจสอบมิได้
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทางการเงินของวัดและพระสงฆ์ได้แก่
- พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
- กฎกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ออกตามความใน พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
- กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 พ.ศ. 2536 ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอน ไวยาวัจกร
ตามกฎหมายแล้ว วัดถือเป็นนิติบุคคล เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรประเภทองค์กรทางศาสนา และมีภารกิจหลัก 6 ด้าน ได้แก่ 1) การปกครอง 2) การศาสนศึกษา 3) การศึกษาสงเคราะห์ 4) การเผยแผ่ 5) การสาธารณูปการ และ 6) การสาธารณสงเคราะห์ ซึ่งทำให้วัดหลายแห่งมีบทบาทสาธารณะในชุมชน และก่อตั้งมูลนิธิ
เจ้าอาวาส ถือได้ว่าเป็นเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และประมวลกฎหมายอาญา ไวยาวัจกรถือเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา แต่ทั้งเจ้าอาวาสและไวยาวัจกร ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เพราะไม่ได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือข้าราชการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงไม่สามารถเข้าตรวจสอบหรือวินิจฉัยเพื่อปราบปรามทุจริตได้
เช่นเดียวกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ไม่สามารถตรวจสอบหรือดำเนินการกับวัดได้ ปปง.สามารถตรวจสอบได้เฉพาะมูลนิธิเท่านั้น
ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) อนุญาตให้ตั้งกรรมการวัด เป็นผู้จัดการประโยชน์ จัดการบัญชีรับจ่าย แต่ก็ไม่กำหนดขั้นตอนให้การเลือก คุณสมบัติ และระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง กรรมการวัดจึงขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาสท่านเลือกเอง
กฎหมายคณะสงฆ์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ได้ควบคุมการทำหน้าที่ของเจ้าอาวาสและไวยาวัจกรโดยกำหนดโทษทางอาญาไว้โดยเฉพาะ แต่ไม่ได้ควบคุมกรรมการวัด จึงทำให้โทษทางอาญามีลักษณะที่ต่างกัน เมื่อเป็นการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดให้วัดจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และส่งให้กับสำนักงาน พศ. ตรวจสอบ หากแต่ไม่ได้เป็นการบังคับ การยื่นบัญชีของแต่ละวัดยังคงเป็นไปตามความสมัครใจของเจ้าอาวาส กระทั่งเกิดข่าวอื้อฉาวในช่วง มิ.ย. – ก.ค. 2568 ทำให้เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2568 สำนักพุทธฯ เตรียมออกกฎกระทรวงห้ามวัดถือเงินสดเกิน 100,000 บาท และกำชับทุกวัดให้จัดทำบัญชีให้ถูกต้องตามระบบ และรายงานต่อสำนักงาน พศ. ภายในวันที่ 20 ม.ค. ของปีถัดไปซึ่งเป็นไปตามมติของมหาเถรสมาคม
แม้ ป.ป.ช. จะไม่มีอำนาจสอบสวนภิกษุ-สามเณร แต่เพื่อป้องกันทุจริต จึงได้มีข้อเสนอแนะยังสำนักงาน พศ. เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2568 ดังนี้
- ให้สำนักงาน พศ. จัดทำระบบฐานข้อมูลกลาง เช่น ข้อมูลการอุดหนุนงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ ข้อมูลฐานะการเงิน รายรับ – รายจ่าย ข้อมูลโรงเรียนพระปริยัติธรรม ข้อมูลจำนวนพระภิกษุ – สามเณร รวมทั้งข้อมูลการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณ และการติดตามและประเมินผล เพื่อเปิดเผยให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูลได้
- ให้รายงานผลการเบิกจ่ายและการใช้งบประมาณผ่านระบบสารสนเทศ จัดทำคู่มือ/แนวทางปฏิบัติการใช้และการเบิกจ่ายงบประมาณให้ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน และเปิดเผยรายงานผลการติดตามและประเมินผลของโครงการต่อสาธารณะ
- ให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต สำนักงานพศ. เป็นหน่วยงานส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้ และเปิดช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์จากพระภิกษุ และประชาชน
และเพื่อให้วัดมีรายรับโปร่งใสมากขึ้น เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568 กรมสรรพากรได้ขอความร่วมมือให้การทำบุญเปลี่ยนเป็นระบบ e-donation ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป แต่มาตรการนี้ก็อาจแก้ไขปัญหาได้บางส่วนเท่านั้น เช่น ป้องกันใบอนุโมทนาบัตรเท็จ แต่ก็ยังไม่ช่วยแก้ปัญหาการใช้จ่ายเงินของวัด
การสร้างธรรมาภิบาล คู่ไปกับธรรมวินัย
มาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอาจยังไม่เพียงพอที่จะยุติทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่ง สุภอรรถ มองว่า
“จริงๆ แล้ว กฎระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวกับวัด ถือว่าดีอยู่ เพียงแต่ขาดการควบคุม ขาดการติดตามกํากับดูแลอย่างแท้จริง เช่นข้อกำหนดให้ทุกวัดส่งบัญชีการเงินให้สํานักพุทธฯ แต่ผมถามว่า ส่งไปแล้วมันมีคนตรวจรึเปล่า และแต่ละวัดไม่ได้มีมาตรฐานและความรู้เกี่ยวกับบัญชี เท่าๆ กันทุกวัด และวัดใหญ่วัดเล็กก็แตกต่างกัน บางวัดมีรายละเอียดค่าใช้จ่ายสูง
มีบางวัดที่ทำบัญชีวัดเรียบร้อยมาก เพราะพระในวัดเคยอยู่สํานักงานตรวจสอบบัญชีมาก่อน บางวัดเป็นหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ท่านบวชมานาน แต่ต้องมาทำบัญชีวัดส่งสำนักพุทธ ซึ่งเป็นงานที่ต้องการความรู้และรายละเอียดสูง แต่สำนักพุทธไม่ได้จัดอบรมให้ความรู้การเขียนบัญชี ฝึกหัดพระเขียนบัญชีเลย”
ดังนั้น จึงต้องมีกลไกหนุนเสริม สำนักงาน พศ. อาจอำนวยความสะดวก โดยจัดหาเจ้าหน้าที่หรือบุคคลภายนอกเข้าไปช่วยทำบัญชีให้แก่วัด ในกรณีที่เจ้าอาวาสมีข้อจำกัดเรื่องทำบัญชีการเงิน
ในการสร้างธรรมภิบาลในวัด สุภอรรถ ยกตัวอย่าง มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล ว่า ได้ทําโครงการ “การบริหารวัดในพุทธศาสนาตามหลักธรรมาภิบาล” ตั้งแต่ พ.ศ. 2566 เข้าไปสร้างกระบวนการในวัดและชุมชนรอบข้าง ให้มีกลไกการจัดการตัวเองแบบมีธรรมาภิบาล โดยมีวัดนําร่อง 16 วัด ทั้งวัดใหญ่ วัดเล็ก วัดป่า ทั่วประเทศไทย ดึงเอาชุมชนและสถาบันการศึกษาเข้ามามีส่วนร่วม นำวิชาการและเครื่องมือมาใช้ เช่นการทำบัญชี การทำโปรแกรม และให้วัดมีข้อกำหนดกฎระเบียบชัดเจนเรื่องการเงิน และการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย
และนอกเหนือจากความโปร่งใสตรวจสอบได้แล้ว ที่ผ่านมาการบริหารกิจการภายในวัดยังคงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าอาวาสเป็นหลัก ขาดการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์อื่นๆ ในวัด รวมทั้งฆราวาสและชุมชน ทำให้ไม่นำไปสู่การถ่วงดุลอำนาจ การระดมสมอง แม้แต่ไวยาวัจกรที่ถือเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าอาวาสท่านก็เลือกเอง
ดังนั้นในการสร้างธรรมาภิบาล การบริหารและกิจการภายในวัดควรเป็นการตัดสินใจแบบหมู่คณะ เพื่อการถ่วงดุลตรวจสอบการทำงาน กำหนดคุณสมบัติและวาระการดำรงตำแหน่งของผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่กรรมการและไวยาวัจกรอย่างชัดเจน ชุมชนสามารถเสนอชื่อได้ มีการประเมินผลคนทำงาน และให้คนทำงานทั้งพระสงฆืและญาติโยมมีโอกาสได้เรียนรู้ความรู้เครื่องมือใหม่ ๆ ในการบริหารจัดการ และหลักธรรมาภิบาล
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ตีกรอบเงินบริจาควัด “ลดหย่อนภาษี” ต้องผ่านระบบ e-Donation
- ปัญหาการทุจริต สามารถแก้ไขได้หรือไม่?
- เจาะลึกช่องโหว่ “วัด” กับความเสี่ยงในการเป็นช่องทาง “ฟอกเงิน”