ตามประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกรมสรรพากรจัดเก็บภาษี โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นหนึ่งในภาษีที่กรมสรรพากรมีหน้าหน้าที่จัดเก็บ
ตามกฎหมายกำหนดให้ผู้มีเงินได้ทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี และหากมีเงินได้ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้ว่าจะเสียภาษี หรือไม่เสียภาษีก็ตาม ดังนี้
- คนโสดที่มีรายได้เป็นเงินเดือน ตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาทต่อปี ในกรณี ผู้ที่สมรสแล้วจะต้องมีรายได้ที่เป็นเงินเดือนตั้งแต่ 18,333 บาท ต่อเดือน หรือ 220,000 บาทต่อปี
- นอกจากนี้ คนโสดที่มีรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน ตั้งแต่ 5,000 บาทต่อเดือน หรือ 60,000 บาทต่อปี ในกรณีคนที่สมรสแล้ว จะต้องมีรายได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินเดือน ตั้งแต่ 10,000 บาทต่อเดือน หรือ 120,000 บาทต่อปี
ผู้มีเงินได้ ต้องยื่นภาษีเงินได้ประจำปี โดยกรมสรรพากรกำหนดให้ยื่นภายในวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม ของทุกปี แต่ในบางบางกรณีอาจจะขยายเวลายื่นได้ในกรณียื่นผ่านออนไลน์

ผู้มีเงินได้ต้องตรวจสอบอะไรก่อนยื่นภาษี
ผู้มีเงินได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ประจำ หรือ มนุษย์เงินเดือนต้องตรวจสอบ ก่อนการยื่นภาษี ดังนี้
- ตรวจสอบดูว่ามีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีหรือไม่ (ซึ่งปัจจุบัน ส่วนใหญ่มักจะมีรายได้ตามเกณฑ์ต้องยื่นภาษี)
- ตรวจสอบดูรายการ “ลดหย่อน” โดยมีรายการลดหย่อนส่วนตัวและสวัสดิการต่าง ๆ ที่เป็นมาตรการช่วยเหลือผู้มีหน้าที่ต้องเสีย เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่
- ตรวจสอบรายการ “ลดหย่อน” กรณีที่มีรายได้เพียงพอสำหรับการออม และมาตรการของรัฐบาล “ประจำปี” ซึ่งในช่วงหลัง รัฐบาลมักจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพือให้ประชาชนจับจ่ายใช้จ่ายสอยและนำมาลดหย่อนภาษีได้

ลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
รายการลดหย่อนภาษี ที่ถือเป็น “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ที่ทุกคนได้รับตามกฎหมาย โดยมีรายละเอียดแตกต่างกันตามสถานะของแต่ละคน เช่น สถานะโสด สมรส มีบุตร เลี้ยงดูพ่อแม่ มีรายละเอียด ดังนี้
ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัว ลดหย่อนได้ 60,000 บาท โดยทุกคนได้รับสิทธินี้หมด ไม่ว่าจะสถานะโสด สมรส
ค่าลดหย่อนภาษีคู่สมรส ลดหย่อนได้ 60,000 บาท และต้องเป็นคู่สมรสที่ต้องจดทะเบียนสมรส และคู่สมรสต้องไม่มีรายได้
ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ให้สิทธิภรรยาผู้มีเงินได้ใช้ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงไม่เกินครรภ์ละ 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีบุตร ลดหย่อนภาษีได้คนละ 30,000 บาท หากเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย หักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวนคน แต่ถ้าเป็นบุตรบุญธรรม สามารถหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน โดยมีเงื่อนไข คือ
- อายุไม่เกิน 20 ปี
- ถ้าอายุ 21-25 ปี ต้องศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ขึ้นไป
- บุตรมีเงินได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อปี
- กรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส สำหรับผู้ดูแลพ่อแม่ที่อายุเกินกว่า 60 ปีขึ้นไป และพ่อแม่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30,000 ต่อคน และสิทธินี้ยังครอบคลุมไปถึงพ่อ-แม่ของคู่สมรสอีกด้วย ซึ่งรวมถึงพ่อแม่ของคู่สมรสด้วยแล้ว จะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 120,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษีกรณีอุปการะผู้พิการหรือบุคคลทุพพลภาพ สำหรับผู้ดูแลผู้พิการที่บ้านไม่ว่าจะเป็น พ่อ-แม่-บุตร สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท แต่ผู้พิการหรือทุพพลภาพนั้นจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทด้วย และต้องมีหลักฐานว่าเป็นผู้อุปการะ ผ่านใบรับรองแพทย์ หรือว่าบัตรประจำตัวคนพิการ
ลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน
ตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการออมของประชาชน ได้มีการออกมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการออม ดังนี้
เงินประกันสังคม สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท
เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ เมื่อซื้อประกันชีวิตที่มีแผนกรมธรรม์คุ้มครองระยะเวลาเกิน 10 ปีขึ้นไป โดยต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และสามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
เบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ แล้วจะลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท
เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา ทำประกันให้พ่อแม่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท และบิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี
เงินลงทุนธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ผู้ที่สนใจทำธุรกิจเพื่อสังคม หรือซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป สามารถนำเงินลงทุนไปเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน เป็นสิทธิลดหย่อนสำหรับพนักงานบริษัทเอกชน หรือครูเอกชนที่ส่งเงินเข้ากองทุน ซึ่งลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) เป็นสิทธิลดหย่อนสำหรับข้าราชการที่จ่ายเงิน กบข. เป็นประจำทุกเดือน โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นสิทธิลดหย่อนสำหรับฟรีแลนซ์ พ่อค้า-แม่ค้า ที่ไม่มีกองทุนเหมือนกับสาขาอาชีพอื่น ซึ่งจะลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้พึงประเมิน ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท สามารถใช้สิทธิดังกล่าวควบคู่ไปกับเบี้ยประกันรูปแบบอื่น ๆ ได้ด้วย แต่รวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) โดยเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงหลัก ESG (Environment, Social และ Governance) ซึ่งสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท เป็นวงเงินแยกต่างหาก โดยไม่ต้องนับรวมกับเงินลงทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ ซึ่งเกณฑ์การถือครองหน่วยลงทุน ต้องถือหน่วยลงทุนเกินกว่า 5 ปีขึ้นไป (นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) มีสิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
สับเปลี่ยนกองทุน LTF ไปที่ Thai ESGX ไม่เกิน 500,000 บาท โดยการยื่นภาษีในช่วงต้นปี 2569 เนื่องจากเป็นรายได้ของปีภาษี 2568 โดยลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท และส่วนที่เหลือจะถูกแบ่งไปลดหย่อนในปีถัด ๆ ไป ปีละ 50,000 บาท
กล่าวโดยสรุปแล้ว การลงทุนในกลุ่มนี้ รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวม Thai ESG จะลดหย่อนได้ 800,000 บาท หากใช้สิทธิลดหย่อนอย่างเต็มที่
ลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค
การบริจาคเงิน ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ เป็นการบริจาคเพื่อการกุศลและเพื่อกิจกรรมทางสังคม ซึ่งมีเงินบริจาค 3 ประเภทที่อยู่ในเกณฑ์ลดหย่อนภาษี
เงินบริจาคทั่วไป การบริจาคให้วัดวาอาราม หรือมูลนิธิ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายค่าลดหย่อนกลุ่มอื่น ดังนั้นหลังบริจาคเสร็จแล้วให้ขอใบเสร็จไว้ด้วย เพื่อเป็นหลักฐานขอลดหย่อนภาษี
เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และบริจาคเพื่อสถานพยาบาลของรัฐ จัดเป็นค่าลดหย่อนภาษีที่สูงกว่ากลุ่มอื่น เพราะลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง สามารถใช้เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงสูงถึง 10,000 บาท
ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
รัฐบาลในยุคหลังมักจะออกมาตรการทางภาษี เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยได้ มีดังนี้
Easy E-Receipt (2.0) ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 50,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าและบริการระหว่าง 16 มกราคม-28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่มี e-Tax Invoice หรือ e-Receipt
ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัย ลดหย่อนได้ตามจริงไม่เกิน 100,000 บาท
เที่ยวดี มีคืน (2568) หักค่าลดหย่อนไม่เกิน 30,000 บาท โดยเที่ยวเมืองรองนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนได้ในอัตรา 1.5 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง ลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาท และหากเป็นเมืองหลัก นำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนได้ในอัตรา 1 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุด 20,000 บาท
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




