เงินบาทไทยปรับตัวแข็งค่ามากขึ้นตั้งแต่ต้นปี 68 และแข็งค่าในอัตราที่สูงกว่าสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค จนมีนักเศรษฐศาสตร์บางคนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากในช่วงนี้อาจมาจากเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทยที่ติดตามไม่ได้ สะท้อนจากตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อน (Net Errors and Omissions: NEO) ในบัญชีดุลการชำระเงินของประเทศ (Balance of Payments: BOP) ที่ปี 67 มีปริมาณสูงมากกว่าทุกปี
อีกทั้งกระแสสังคมยังต้องข้อสงสัยด้วยว่าเป็นแหล่งฟอกเงินที่มาจากธุรกิจสีเทาหรือไม่ จนกระทั่งว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เตรียมตั้งทีมเฉพาะกิจสอบสวนหาที่มาของเงินทุนปริศนาก้อนนี้
ค่าความคลาดเคลื่อนใหม่ลดกว่าครึ่ง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงทันทีว่าตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อนดังกล่าวอยู่ในรายการบัญชีดุลการชำระเงินปี 67 และจากการปรับปรุงข้อมูลตามรอบปกติในเดือน ก.ย. 68 ส่งผลให้ตัวเลขความคลาดเคลื่อนดังกล่าวลดลงจาก 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงิน 2.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
โดยเหตุหลักมาจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. มูลค่านำเข้ารวมที่ลดลง จากการที่กรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าให้เป็นไปตามที่ได้รับข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมศุลกากรได้ประมาณการไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าความคลาดเคลื่อนลดลงไปประมาณ 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
2. ข้อมูลการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้น ซึ่งปรับตามข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจไทย ที่ปรากฏในงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ค่าความคลาดเคลื่อนลดลงไปประมาณ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
3. ข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit) ที่เพิ่มขึ้น จากการที่เจ้าหนี้การค้าขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้านำเข้าให้กับภาคเอกชน ทำให้ภาระการจ่ายคืนสินเชื่อการค้าในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ค่าความคลาดเคลื่อนลดลงประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ธปท. พยายามชี้แจงว่าตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในปัจจุบัน เพราะเป็นข้อมูลที่เก็บบันทึกจากธุรกรรมในปี 67 และนำมาเผยแพร่ในปี 68 ดังนั้นหากจะส่งผลกระทบต่อค่าเงิน ก็ควรต้องมีเกิดขึ้นในช่วงปี 67
สำหรับข้อมูลบัญชีดุลการชำระเงินของประเทศในแต่ละปี ธปท. จะเผยแพร่ตัวเลขเบื้องต้นในเดือน มี.ค.ของปีถัดไป จากนั้นจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในทุกเดือน ก.ย. เช่น การจัดทำข้อมูลบัญชีดุลการชำระเงินของประเทศของปี 67 จะเผยแพร่ครั้งแรกในเดือน มี.ค. 68 และจะปรับปรุงข้อมูลอีก 2 ครั้ง ในเดือน ก.ย. 68 และเดือนก.ย. 69
ปัจจัยทำเงินบาทแข็งกว่าภูมิภาค
แล้วเงินบาทที่แข็งค่าในตอนนี้เกิดจากอะไร โดย ธปท. อธิบายว่า เงินบาทแข็งค่า ปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด (FED) จะดำเนินนโบายแบบผ่อนคลายลง โดยตั้งแต่ต้นปีนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ปรับตัวอ่อนค่ามากขึ้นเกือบ 10% จึงส่งผลกระทบให้สกุลเงินในภูมิภาคปรับตัวแข็งค่า

ค่เงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
แต่สิ่งที่ทำให้เงินบาทไทยแข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคนั้น มาจาก 3 ปัจจัย
- ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ (เกินดุลกว่าที่คาด)
- สถานการณ์การเมืองในประเทศคลี่คลายเร็ว
- ราคาทองที่ปีนี้ปรับสูงขึ้นมากกว่า 40% เนื่องจากคนไทยนิยมซื้อขายทอง เมื่อราคาทองเพิ่มสูงขึ้นก็จะมีการนำมาขายทำกำไร ซึ่งร้านทองไทยจะนำทองที่รับซื้อมาไปขายต่างประเทศ และนำเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มาแลกเป็นเงินบาท
ไทยนำเข้าทองเยอะทำไมบาทแข็ง
นอกจากนี้ ธปท.ยังได้ไขข้อสงสัยในประเด็นที่ไทยนำเข้าทองคำมากกว่าส่งออก แต่เหตุใดเงินบาทจึงแข็งค่าได้ เพราะ
ประการที่หนึ่งขึ้นกับช่วงเวลาของตลาด เช่น หากเม็ดเงินไหลเข้าเวลากลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินไหลออกยังมีไม่มาก ก็อาจทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงเวลานั้น โดยค่าเงินบาทไทยเหมือนกับราคาสินทรัพย์ทั่ว ๆ ไป ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้มีแม้กระแสเงินไม่มาก
ประการที่สองค่าเงินบาทอาจเปลี่ยนแปลงได้แม้มีกระแสเงินไหลเข้าออกไม่มาก เพราะการคาดการณ์ของนักลงทุน โดยในระยะหลังพบว่า คนจับค่าความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทและราคาทองคำมากขึ้น กล่าวคือ เมื่อราคาทองคำเคลื่อนไหวก็จะเกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินบาทตาม ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีธุรกรรมในลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น

ราคาทองคำสปอต (ดอลลาร์ต่อออนซ์) ของตลาดโลก ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
ไม่เกี่ยวธุรกิจสีเทา
ในประเด็นข้อสงสัยค่าความคลาดเคลื่อนของดุลบัญชีการชำระเงินสูง อาจเกี่ยวข้องกับเงินธุรกิจผิดกฎหมายที่ไหลเข้ามาในไทยนั้น ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธปท. ระบุว่า ค่าความคลาดเคลื่อน เป็นตัวเลขที่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นธุรรมการเงินอะไร ซึ่งก็อาจจะบางส่วนเป็นเงินธุรกิจสีเทา เช่น คนทำธุรกิจสีเทาเป็นกรรมการบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง และนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยผ่านบริษัทต่างชาติดังกล่าว หรือตัวกลางอื่นที่ถูกกฎหมาย ธุรกรรมนี้ก็จะถูกบันทึกในบัญชีดุลการชำระเงินของประเทศ และระบุไม่ได้ว่าเป็นเงินสีเทา
อีกกรณีมิจฉาชีพหลอกโอนเงินจากประชาชน แต่นำเงินออกนอกประเทศไม่ได้ ก็อาจจะนำไปซื้อทองคำในประเทศ และอาจขนทองดังกล่าวออกไปทางบกหรือทางอากาศ เนื่องจากระบบการซื้อขายทองคำยังไม่มีระบบการตรวจสอบที่เข้มงวดมากนัก
หรือธุรกิจสีเทาอาจนำเงินมาลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่ โอนผ่านเข้าบัญชีบุคคลที่ไม่สามารถตรวจจับได้ หรืออาจนำคริปโทเคอร์เรนซี่ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลส่วนตัว
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเงินจากธุรกิจสีเทาอาจอยู่ได้ในหลายทรัพย์สินและธุรกรรม ไม่ใช่ต้องเฉพาะในรายการดุลการชำระเงินที่เกิดความคลาดเคลื่อน แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ ธปท. ไม่สามารถตรวจจับธุรกรรมการเงินได้ครบทั้งหมด
ทั้งนี้ ธปท.กำหนดให้สถาบันการเงินทุกแห่ง ที่อยู่ภายในกำกับดูแล ของ ธปท. ต้องแจ้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หากพบธุรกรรมที่ผิดปกติและน่าสงสัย
ยอมรับข้อมูลติดตามธุรกรรมมีจำกัด
การตรวจจับธุรกรรม ธปท.จะติดตามจากข้อมูลการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ระหว่างผู้มีถิ่นพำนักในประเทศกับผู้มีถิ่นพำนักนอกประเทศ ผ่านผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแล ธปท. เช่น สถาบันการเงิน ซึ่งจะรู้ข้อมูลทั้งหมดว่าซื้อขายแลกเปลี่ยนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร
สำหรับธุรกรรมทองคำ ธปท.จะรู้เฉพาะข้อมูลที่ร้านทองนำเงินบาทมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกทองคำที่มีรายงานกับกรมศุลกากร แต่ธุรรรมในช่องทางอื่นที่อาจจะผิดกฎหมาย อาจต้องอาศัยการตรวจสอบเชิงลึกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ธุรกรรมซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ธปท.จะรู้ข้อมูลเฉพาะธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินที่ระบุวัตถุประสงค์เพื่อซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งยังต้องอาศัยข้อมูลที่ทางผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล รายงานต่อ กลต. นำมาประกอบเพิ่มเติม ก็จะสามารถช่วยลดปริมาณค่าความคลาดเคลื่อนของดุลบัญชีการชำระเงิน และเพิ่มความชัดเจนของข้อมูลธุรกรรมได้มากขึ้น
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: