สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รายงานการตรวจสอบการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562–2567 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานซึ่งประกอบด้วยพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน พื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยผลการตรวจสอบพบว่ามีการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่าและไร้ประสิทธิภาพ ทำให้การแก้ปัญหาไม่ได้ผล
จากปัญหาในหลายพื้นที่ของประเทศที่มีแนวโน้มปัญหา PM2.5 ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ 12 ก.พ.562 ให้ “การแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง” เป็นวาระแห่งชาติ
ต่อมาสตง. เลือกตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รู้ถึงปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน พร้อมเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหา โดยมีผลสรุปจากการตรวจสอบดังนี้
ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สตง. ได้ตรวจสอบการดำเนินงานการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ด้านมลพิษอากาศ โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด โดยเลือกตรวจสอบหน่วยงานที่มีการสนับสนุนงบประมาณให้กับชุมชนหรือเครือข่ายเพื่อดำเนินการสนับสนุนภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ทั้งในส่วนของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการควบคุมไฟป่าในพื้นที่ทั่วประเทศของกรมป่าไม้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556-2562 รวมทั้งสิ้น 1,618 เครือข่าย
ในจำนวนนี้เป็นเครือข่ายที่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด จำนวน 1,142 เครือข่าย โดยใช้งบประมาณจำนวน 98.40 ล้านบาท รวมถึงกรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สนับสนุนงบประมาณในการจัดอบรมหรือเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้กับสมาชิกของเครือข่ายในพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557-2562 เครือข่ายละ 50,000 บาท จำนวน 542 เครือข่าย
ผลการตรวจสอบในขณะนั้นพบว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของชุมชนหรือเครือข่ายที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเพื่อดำเนินการตามภารกิจด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ทำให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอาจยังไม่มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์เท่าที่ควร
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สตง. ได้ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานยุทธศาสตร์ที่ 4 ดำรงฐานทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่การเป็นกลุ่มจังหวัดสีเขียว ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2563 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 โดยตรวจสอบผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในระดับยุทธศาสตร์และระดับโครงการ ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดแพร่ โดยสุ่มตรวจสอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในกิจกรรมย่อย 3 ประเภท ได้แก่ กิจกรรมลาดตระเวนป้องกันและดับไฟป่า สร้างแนวกันไฟ กิจกรรมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพื่อลดปัญหาการเข้าป่าหาของป่าและการทำเกษตรวิถีเดิม งบประมาณรวม 47.60 ล้านบาท
พบว่ากิจกรรมลาดตระเวนป้องกันและดับไฟป่า สร้างแนวกันไฟ มีการจัดทำสัญญาจ้างเหมาราษฎรเพื่อลาดตระเวนป้องกันและดับไฟป่าในบางช่วงระยะเวลาการดำเนินงานอยู่ในฤดูฝน ซึ่งการเกิดไฟป่าและปัญหาความรุนแรงจากหมอกควันลดน้อยลง การใช้จ่ายงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าวจึงอาจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลเท่าที่ควร
กิจกรรมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดำเนินการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการ และกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพื่อลดปัญหาการเข้าป่าหาของป่าและการทำเกษตร วิถีเดิม พบว่า ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลผลิตจากกิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพาะเห็ดและยังคงมีวิถีชีวิตในการเข้าหาของป่าเช่นเดิม ทำให้ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 สตง. ได้ตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานจำนวน 2 โครงการ ดังนี้
1. โครงการแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดเชียงใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564–2567 งบประมาณที่ได้รับจัดสรรรวม 43.61 ล้านบาท ผลการตรวจสอบในภาพรวมพบว่า การดำเนินโครงการบางส่วนยังขาดประสิทธิภาพและไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ อาทิ จากการตรวจสอบฝายต้นน้ำแบบผสมผสานซึ่งใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรับดับไฟป่าในเขตพื้นที่รอยต่อจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย จำนวน 158 แห่ง พบว่ามีสภาพชำรุดมากถึงร้อยละ 87.34 และส่วนใหญ่ไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับดับไฟป่า
ในขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบการจัดทำแนวกันไฟในพื้นที่ 15 ชุมชน ซึ่งมีการดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 11 ชุมชน พบว่ามีไฟป่าเกิดขึ้นในพื้นที่จำนวน 6 ชุมชน ซึ่งสาเหตุเกิดจากการจัดทำแนวกันไฟล่าช้าและขาดการลาดตระเวน เฝ้าระวังตามแนวกันไฟตลอดช่วงระยะเวลาฤดูกาลของไฟป่า
จากการตรวจสอบของ สตง. พบว่า การดำเนินกิจกรรมตามโครงการบางส่วนยังขาดประสิทธิภาพและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง เช่น การกำหนดระยะเวลาดำเนินกิจกรรมลาดตระเวนและดับไฟเพียง 20-30 วัน ในขณะที่ช่วงเวลาที่เกิดไฟป่ารุนแรงมีระยะเวลานาน 45-60 วัน การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าให้กับกลุ่มผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ยังไม่ทั่วถึงเพียงพอ ขาดเทคโนโลยีสนับสนุนในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดับไฟ หรือป้องกัน/ตรวจสอบก่อนการเข้าพื้นที่เกิดเหตุ เช่น โดรน และกล้องวงจรปิด เป็นต้น ขาดการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของกิจกรรมลาดตระเวน เฝ้าระวัง ดับไฟป่า การบังคับใช้กฎหมาย การตั้งจุดตรวจ–จุดสกัด หรือเฝ้าระวังคนเข้าออกพื้นที่ป่า ฯลฯ สาเหตุต่าง ๆ ข้างต้น เป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่ส่งผลให้จังหวัดเชียงใหม่มีคุณภาพอากาศเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดและประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพอนามัย รวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวในจังหวัดลดลง โดยเฉพาะกิจการด้านโรงแรม ร้านอาหาร
2. โครงการบูรณาการสิ่งแวดล้อมและสาธารณภัย เป็นโครงการตามแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 งบประมาณรวมทั้งสิ้นจำนวนเงิน 41.87 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) เพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ตอนบน 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำเสื่อมโทรมซึ่งเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์ทางระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมเนื้อที่ 19,603 ไร่
แต่จากการตรวจสอบพบว่า หน่วยดำเนินการได้ปลูกป่าบางส่วนในพื้นที่ที่มีสภาพป่าสมบูรณ์อยู่แล้ว จึงไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กำหนด
ขณะที่การบูรณาการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย 10 กิจกรรมย่อย เช่น ปลูกจิตสำนึกการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมในการป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าการพัฒนาและส่งเสริมการปลูกไผ่เพื่อเป็นพืชทดแทนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือตอนบน 2 และการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อลดปัญหาหมอกควัน
จากการตรวจสอบพบว่า แม้บางกิจกรรมจะมีการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ก็ยังคงพบปัญหา เช่น แปลงสาธิตการปลูกไผ่ในบางพื้นที่ถูกไฟไหม้เสียหายถึง 95% และการปลูกพืชเศรษฐกิจบางชนิด เช่น อะโวคาโดและมะม่วง ในบางพื้นที่มีอัตราการรอดต่ำ คิดเป็น 2.81% และ 58.18% ตามลำดับ
ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สตง. ได้ตรวจสอบการดำเนินงานมหานครปลอดภัย ด้านปลอดมลพิษตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2556-2560) โดยกรุงเทพมหานครมีโครงการ/
กิจกรรมภายใต้กลยุทธ์เฝ้าระวังปริมาณมลพิษในอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 5 โครงการ/กิจกรรมได้แก่ โครงการจัดหาเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศติดตั้งบนเสาเหล็กและแบบเคลื่อนที่ โครงการจ้างเหมาตรวจวัดและซ่อมบำรุงสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสียงริมเส้นทางจราจร กิจกรรมแสดงผลคุณภาพอากาศและเสียงริมเส้นทางจราจร กิจกรรมตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสียงในบรรยากาศด้วยรถตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสียง และการจัดทำเอกสารเผยแพร่ความรู้ด้านการจัดการคุณภาพอากาศและเสียง และการอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 435.46 ล้านบาท
โดยมีประเด็นผลการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพอากาศ พบว่า การดำเนินงานเพื่อเฝ้าระวังปริมาณมลพิษในอากาศให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด โดยการตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบถาวรในแต่ละเขตพื้นที่ไม่มีความต่อเนื่อง และปริมาณมลพิษในอากาศที่ตรวจวัดได้ในปี 2560 และ 2561 อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอนก๊าซโอโซน และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซต์ ขณะที่ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีผลการตรวจวัด ในปี 2560 อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ แต่มีแนวโน้มแย่ลงในปี 2561 โดยมีข้อมูลค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ที่ตรวจวัดได้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานลดลงจากปีก่อน
ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคการเกษตร
จากสถานการณ์การเผาอ้อยเป็นจำนวนมากในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวอ้อยเข้าโรงงานระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้มลพิษทางอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ ซึ่งมีเป้าหมายลดการเผาอ้อยให้หมดไปภายในฤดูการผลิตปี 2566/2567 สตง. จึงได้เลือกตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้เพื่อลด PM 2.5 โดยได้นำการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) มาใช้ร่วมกับการลงพื้นที่ โดยได้วิเคราะห์การเกิดจุดความร้อน (Hot Spot) และสภาพปัญหา PM 2.5 และการส่งอ้อยเข้าโรงงานของเกษตรกร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบผลการดำเนินงานและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม
ผลการตรวจสอบในภาพรวมพบว่า การลดการเผาเพื่อตัดอ้อยส่งโรงงานไม่บรรลุเป้าหมายที่กำหนด โดยตั้งแต่ฤดูการผลิต ปี 2562/2563 – ปี 2566/2567 มีปริมาณอ้อยไฟไหม้สูงกว่าเป้าหมายทุกฤดูการผลิต เช่น ฤดูการผลิต 2562/63 มีสัดส่วนสูงถึง 49.65% และลดลงมาอยู่ที่ 29.64% ในฤดูการผลิตปี 2566/67 ซึ่งยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 0%
จากการตรวจสอบการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรตัดอ้อยสด ตั้งแต่ปี 2562/2563 – 2566/2567 รวม 4 ฤดูการผลิต ที่การันตีราคาอ้อยสด 120 บาทต่อตัน รวมใช้งบประมาณไปแล้ว 20,000 ล้านบาท แต่กลับพบว่า เกษตรกรที่ได้รับเงินช่วยเหลือยังคงใช้วิธีเผาอ้อยในฤดูการผลิตถัดมา เกษตรกรที่ยืมเครื่องสางใบอ้อยไปใช้งานยังส่งอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น หรือเกษตรกรที่ได้รับสินเชื่อ เพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร 81.03% ยังคงส่งอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงานในฤดูการผลิตหลังจากที่ได้รับสินเชื่อ ในขณะที่โรงงานน้ำตาลส่วนใหญ่ยังคงรับซื้ออ้อยไฟไหม้เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการผลิตน้ำตาล นอกจากนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีการเผาใบและเศษซากต้นอ้อยหลังการเก็บเกี่ยว และหน่วยงานที่รับผิดชอบยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากใบและยอดอ้อยเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าชีวมวลได้
จากการดำเนินงานที่ไม่บรรลุเป้าหมายดังกล่าวส่งผลให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ไม่เกิดความคุ้มค่าและทำให้ประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียงมีความเสี่ยงที่จะได้รับมลพิษทางอากาศซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง สาเหตุเนื่องจากการตัดอ้อยสดในหลายพื้นที่มีข้อจำกัด เช่น แรงงานที่รับจ้างตัดอ้อยมีจำนวนจำกัด สภาพพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการใช้รถตัดอ้อย รถตัดอ้อยมีจำนวนจำกัดและให้บริการยังไม่ทั่วถึง
4 ปัญหาใหญ่แก้ปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ
นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิรองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ระบุว่า จากการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการดำเนินมาตรการและกลไกการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองปี 2562-2567 จากรายงานผลการตรวจสอบของ สตง. ที่ผ่านมา ได้สะท้อนถึงข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนที่ทำให้ การใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่เกิดประสิทธิผลและไม่คุ้มค่า ดังนี้
- มาตรการส่วนใหญ่ เป็นการดำเนินการที่ตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า บางมาตรการมีความล่าช้า หรือผลการดำเนินการยังไม่เกิดประสิทธิผลที่เป็นรูปธรรม
- กิจกรรมที่ดำเนินการขาดการเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับพื้นที่ และส่งผลให้ขาดความต่อเนื่อง และไม่เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
- กลไกการจัดทำงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้งบประมาณประจำปีของหน่วยงานงบประมาณจังหวัด และงบประมาณกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ยังไม่ได้ทำให้มาตรการที่นำไปปฏิบัติลงสู่พื้นที่เป้าหมายเกิดการบูรณาการกัน กิจกรรมของหน่วยงานต่าง ๆ ยังไม่ได้สนับสนุนซึ่งกันและกันเท่าที่ควร หรือยังมีความไม่สอดคล้องในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบางกิจกรรมมีความซ้ำซ้อน
- การบริหารจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ระหว่างหน่วยงานยังขาดระบบการทำงานบนฐานข้อมูลเดียวหรือขาดการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ส่งผลให้การแก้ไขปัญหายังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
สั่งตรวจสอบการใช้งบปี 68
จากการตรวจสอบที่ผ่านมาข้างต้นสตง. ได้มีการแจ้งผลการตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบาย และในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และกรุงเทพมหานคร เพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิด และเกิดประสิทธิผลในการควบคุมสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ลดผลกระทบด้านสุขภาพอนามัยที่มีต่อประชาชน และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน
เพราะฉะนั้นการตรวจในงบปี 68 สตง.จะอาศัยที่นายกรัฐมนตรีประกาศ โดยงบประมาณที่ใช้แก้ปัญหานี้ จะต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการรั่วไหล โดยการตรวจสอบของ สตง.จะตรวจสอบด้วยความชอบด้วยกฎหมายว่าใครที่ไม่ทำตามเป้าหมายจะโดนลงโทษอะไรบ้าง ทั้งด้านวินัย และการละเมิดกฎหมาย รวมถึงหากพบว่าเป็นโจรจะเอาผิดทางอาญาด้วย เพื่อสนองตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้ว่า “ใครเผาเราจับ จังหวัดไหนเผาย้ายผู้ว่าจังหวัด”
ทั้งนี้ สตง.จะยังคงเป็นกลไกที่สำคัญในการตรวจสอบและติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาล และหน่วยงานภาครัฐ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างใกล้ชิด กล่าวคือ ตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้กำหนดทิศทางและเป้าหมายการตรวจเงินแผ่นดินให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ในประเด็นการเติบโตที่ยั่งยืน แผนย่อยการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนบนสังคมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมครอน ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามแนวทางการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล
สตง. ได้กำหนดแผนการตรวจสอบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้ทราบว่า การใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการฯ เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และแบบแผนปฏิบัติทางราชการหรือไม่ และให้มีการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ทราบว่า การใช้จ่ายเงินตามโครงการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย รวมทั้งประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง สามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลหรือไม่ ซึ่งหากมีความคืบหน้าของผลการตรวจสอบจะได้นำมานำเสนอให้ทราบในโอกาสต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
เสือกระดาษ “ข้อตกลงอาเซียน” แก้ฝุ่นข้ามแดน
เพราะชีวิตคนคือเศรษฐกิจ: มุมมองเชิงนโยบายจากโรคโควิด-19 สู่ฝุ่นพิษ PM 2.5