หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในปี 67 สูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.5 °C จะถือว่าในปีนี้เป็น “หมุดหมาย”สำหรับในการร่วมมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นความท้าทายว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาได้หรือไม่
อุณหภูมิระดับดังกล่าว มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ทำงานเพื่อแก้ปัญหาว่าเป็นระดับที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกับสภาพบนโลกและไม่อาจย้อนกลับไปได้ แต่มนุษย์บนโลกต้องยอมรับสภาพใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว คือ การพังทลายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ การพังทลายของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก แนวปะการังเขตร้อนเริ่มตาย และชั้นดินเยือกแข็งละลาย
นักวิทยาศาสตร์ยังคาดว่าผลกระทบรุนแรงจะเกิดขึ้นอีกครั้ง หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น 2.0 °C จากอุณหภูมิเฉลี่ยยุคก่อนอุตสาหกรรม
ปี 67 ร้อนทุบสถิติ 1.5°C
โครงการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service: C3S) ของสหภาพยุโรป (EU) รายงานว่าปี 2567 จะเป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิสูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ และเป็นระดับอุณภูมิโลกที่สูงกว่าในปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มตระหนักว่าอุณหภูมิโลกใกล้เขตอันตราย
การจัดทำสถิติของ C3S ย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 2483 และมีการตรวจสอบความถูกต้องจากบันทึกอุณหภูมิทั่วโลกย้อนกลับไปถึงปี พ.ศ. 2393
รายงานของ C3S ระบุว่าในช่วงเดือนม.ค.-ต.ค. 67 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงมาก ทำให้เป็นปีที่โลกร้อนที่สุด เว้นแต่ว่าจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือในเดือนพ.-ธ.ค. หากอุณหภูมิต้องลดลงจนเกือบแตะศูนย์องศาเซียลเซียส
ในปี 2567 จะเป็นปีแรกที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม ในช่วงปี ค.ศ.1850–1900 (พ.ศ. 2393-2443) ซึ่งเป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับอุตสาหกรรม และช่วงปี ค.ศ. 1940-2024 โดยสภาพภูมิอากาศกำลังร้อนขึ้นในทุกทวีปและทุกแอ่งมหาสมุทร มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รายงานนี้ จะมีการเสนอก่อนที่การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) จะเปิดฉากขึ้นในสัปดาห์หน้าที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน ซึ่งนานาประเทศจะพยายามตกลงกันเรื่องการเพิ่มเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แต่ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ทำให้ความคาดหวังต่อการเจรจาลดน้อยลง เนื่องจากทรัมป์ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน
สำหรับปี 2567 มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนี้
อุณหภูมิโลก
เดือนต.ค. 67 เป็นเดือนต.ค. ที่ร้อนเป็นอันดับสอง น้อยกว่าปี 2566 โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 15.25°C มากกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนต.ค. ตั้งแต่ปี 1991-2020 อยู่ที่ 0.80°C
เดือนต.ค. 67 มีอุณหภูมิมากกว่าระดับก่อนอุตสาหกรรม 1.65°C และเป็นเดือนที่ 15 ในช่วง 16 เดือนที่อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกมากกว่า 1.5°C สูงกว่าระดับช่วงอุจสาหกรรม
อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (พ.ย. 2566–ต.ค.2567) มากกว่าค่าเฉลี่ย 1991-2020 อยู่ที่ 0.74°C และมากกว่าช่วงปีค.ศ. 1850-1900 (ก่อนยุคอุตสาหกรรม) ที่ 1.62°C
ความผิดปกติของอุณหภูมิโลกเฉลี่ยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) อยู่ที่ 0.71°C เหนือระดับค่าเฉลี่ยปีค.ศ. 1991-2020 ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สูงสุดเท่าที่มีการบันทึกในช่วง 10 เดือน และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.16°C
เป็นที่แน่นอนแล้วว่าในปี 2567 จะเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่มีการบันทึก แต่ในปี 2567 จะไม่ได้เป็นปีที่ร้อนที่สุด หากในช่วง 2 เดือน (พ.ย.-ธ.ค.) อุณหภูมิลดลงไปอยูทที่ระดับเกือบ 0 องศาเซียลเซียส
ตามรายงานระบุว่าปี 2567 อุณหภูมิโลกเหนือระดับค่าเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.48°C แต่แน่นอนว่าในปี 2567 อุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มมากกว่า 1.5°C เทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรม และอาจจะขยับไปมากกว่าถึง 1.55°C
ยุโรปและเขตอื่น ๆ
ในเดือนต.ค. 67 ดินแดนทวีปยุโรปมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 10.83°C ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนต.ค. ในช่วงปีค.ศ. 1991-2020 ถึง 1.23°C ทำให้เดือนต.ค. 67 เป็นเดือนต.ค.ที่ร้อนที่สุดอันดับ 5 นับตั้งแต่มีการบันทึกมาในทวีปยุโรป ซึ่งที่ผ่านมา เดือนต.ค. 65 เป็นเดือนต.ค.ที่ร้อนที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมา โดยอยู่เหนือค่าเฉลี่ย 1.92°C
ทั้งนี้ อุณหภูมิของยุโรปอยู่เหนือค่าเฉลี่ยสูงกว่าทุกทวีป
ส่วนนอกทวีปยุโรป อุณหภูมิที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ภาคเหนือของแคนาดา รวมทั้งสหรัฐตอนกลางและตะวันตก ธิเบตตอนเหนือ ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ขณะที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย พบได้ในกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์
อุณหภูมิพื้นผิวทะเล
อุณหภูมิพิ้นผิวทะเลเฉลี่ย (SST) ในเดือนต.ค. 67 ระหว่างเส้น 60°S–60°N อยู่ที่ 20.68°C มีค่าสูงเป็นอันดับสองนับตั้งแต่มีการบันทึกมา และต่ำกว่าเดือนต.ค. 66 เพียง 0.10°C
มหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันออกและตอนกลางบริเวณเส้นศูนย์สูตร มีอุณหภูมิต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนไปสู่ลานิญญา (La Niña) แต่ SST ทั่วมหาสมุทรยังคงสูงอย่างผิดปกติในหลายเขต
น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกในเดือนต.ค. 67 ลดลงต่ำสุดเป็นอันดับ 4 เท่ามีการบันทึกมาในเดือนต.ค. โดยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 19%
ความผิดปกติการก่อตัวของน้ำแข็งในทะเลต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในทุกเขตของมหาสมุทรอาร์กติก โดยเฉพาะใน ทะเลแบเรนตส์, กลุ่มเกาะอาร์กติกแคนาดา และ ทางเหนือของหมู่เกาะสฟาลบาร์
ปริมาณน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกต่ำที่สุดเป็นอันดับสองในเดือนต.ค. 67 โดยต่ำกกว่าค่าเฉลี่ย 8% น้อยกว่าเพียงเดือนต.ค. 66 (น้อยกว่า 11%) ซึ่งยังคงผิดปกติจากที่เฝ้าสังเกตุมาตั้งแต่ปี 66 ต่อเนื่องถึงปี 67
การก่อตัวของน้ำแข็งในทะเลในมหาสมุรทางซีกโลกใต้ยังคงมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เหมือนกับที่เป็นมาตั้งแต่เดือนก.ค.67
ในเดือนต.ค. 67 จะพบปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่ว คาบสมุทรไอบีเรีย, ฝรั่งเศส อิตาลีตอนเหนือ นอร์เวย์ สวีเดนตอนเหนือ และด้านตะวันออกของทะเลดำ ซึ่งเกิดฝนตกอย่างหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในเขตวาเลนเซีย เสปน มีผู้เสียชีวิตนับร้อยศพ
สำหรับในยุโรปตะวันออก ยังได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนและความชื้นในดินต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะในทางเขตตะวันตกของรัสเซีย กรีซ และตุรกีตะวันตก
แต่สภาพความชื้นมากกว่าค่าเฉลี่ยกลับพบได้ในจีนตอนใต้และตะวันออก ไต้หวัน ฟอริดาของสหรัฐฯ ภาคตะวันตกของออสเตรเลีย และภาคใต้ของบราซิล ขณะที่เฮอร์ริเคนมิลตันส่งผลเกิดดินถล่มในฟอริดาเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังเฮอร์ริเคนเฮเลน
อย่างไรก็ตาม สภาพความแห้งแล้งกว่าปกติเกิดขึ้นเกือบทั่วสหรัฐฯ พื้นที่ราบตอนกลางของออสเตรเลีย พื้นที่ส่วนใหญ่ของอาฟริกาตอนใต้ และมาดากาสการ์ รวมถึงบางส่วนของอาเจตินาและชิลี ซึ่งความแห้งแล้งต่อเนื่องยาวนานในสหรัฐฯกำลังส่งผลต่อประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมาก