จ่ายเงินลดการเผาอ้อยได้ผลเล็กน้อย ชาวไร่ยังนิยมเผาอ้อยก่อนตัดส่งโรงงาน เหตุต้นทุนตัดอ้อยสดสูงกว่าเงินชดเชย ศูนย์วิจัยกสิกรระบุต้นทุนแรงงานเกี่ยวอ้อยสดสูง และใช้ระยะเวลาเก็บเกี่ยวมากกว่า ทำให้โครงการจ่ายเงินของรัฐไม่ได้รับความสนใจ แนะใช้กลไกคาร์บอนเครดิต
กระทรวงอุตสาหกรรม รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้ดำเนินโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสนับสนุนตามโครงการฯ โดยใช้ข้อมูลปริมาณอ้อยสดคุณภาพดีของฤดูการผลิตปี 2565/2566 ในอัตราไม่เกิน 120 บาทต่อตัน
กรอบวงเงินงบประมาณสนับสนุนรวม 7,775.01 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถดำเนินการเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี และนำไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดที่ทำให้เกิดการลักลอบเผาอ้อย
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติ (4 ธ.ค. 2566) อนุมัติในหลักการโครงการฯ ในอัตราไม่เกิน 120 บาทต่อตัน กรอบวงเงินรวม 7,990.61 ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 215.59 ล้านบาท) โดยใช้แหล่งเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
สำหรับหลักเกณฑ์ มีดังนี้
โครงการฯนี้ มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น จำนวน 125,163 ราย ปริมาณอ้อยสดคุณภาพดี จำนวน 64.52 ล้านตัน วงเงินสนับสนุนเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี จำนวน 6,894.43 ล้านบาท วงเงินที่จ่ายสนับสนุนนำไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดที่ทำให้เกิดการลักลอบเผาอ้อย (วงเงินที่จ่ายสนับสนุนนำไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่ฯ) จำนวน 847.52 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 7,741.95 ล้านบาท โดยจำแนกรายละเอียดได้ ดังนี้
การดำเนินโครงการฯ ช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) รวมทั้งแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดที่ทำให้เกิดการลักลอบเผาอ้อย และเป็นแรงจูงใจให้ชาวไร่อ้อยมุ่งมั่นที่จะตัดอ้อยสดเพิ่มขึ้น
จากการประเมินของกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่ามีจุดความร้อน (Hotspot) สะสมในพื้นที่ปลูกอ้อย 47 จังหวัด ในช่วงเปิดหีบอ้อยเดือน ธ.ค. 2566 – เม.ย. 2567 ทั้งหมด 2,799 จุด หรือคิดเป็นร้อยละ 2.49 ลดลงจากช่วงเปิดหีบอ้อยเดือน ธ.ค. 2565 – เม.ย. 2566 ที่มี 3,321 จุด หรือคิดเป็นร้อยละ 5.90
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย แต่ก่อให้เกิดมลพิษ PM 2.5
จากบทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าอ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้แก่ภาคเกษตรกรปีละ 1 แสนล้านบาท แต่กระบวนการเก็บเกี่ยวอ้อยนั้นส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองในอากาศ โดยฝุ่นละอองที่เกิดขึ้นในภาคเกษตรมาจากการปลูกอ้อย 23% (รูปที่ 1) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแต่ยังไม่บรรลุผล
ปัจจัยเชิงโครงสร้างทำให้เกษตรกรยังไม่สามารถตัดอ้อยสดได้ทั้งหมด
• การตัดอ้อยด้วยรถต้องทำในพื้นที่มากกว่า 20 ไร่ ซึ่งค่าเฉลี่ยพื้นที่ปลูกอ้อยเท่ากับ 15.6 ไร่ต่อครัวเรือน โดยพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่า 20 ไร่ (สีเหลือง) ขณะที่เกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 20 ไร่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและตะวันออก (สีส้ม) (รูปที่ 2)
ต้นทุนแรงงานเกี่ยวอ้อยสดสูง และใช้ระยะเวลาเก็บเกี่ยวมากกว่า โดยใน 1 วันการตัดอ้อยสดสามารถเก็บเกี่ยวได้ 1.8 ตัน ในขณะที่ถ้าใช้วิธีอ้อยเผาจะเก็บเกี่ยวได้ 5 ตัน ทำให้แรงงานเลือกตัดอ้อยด้วยวิธีการเผาเพราะได้รายได้ต่อวันมากกว่าและเหนื่อยน้อยกว่า (รูปที่ 3) แต่การเผาอ้อยเข้าข่ายทำผิดตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
• ระยะเวลารับซื้อของโรงงานน้ำตาลมีจำกัด (วันปิดหีบเพื่อรับซื้ออ้อยปลายเดือนมี.ค. – เม.ย.) ส่งผลให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวใกล้ระยะเวลาปิดหีบ จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวด้วยการเผาเนื่องจากไม่มีทางเลือกเพื่อที่จะให้ทันเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการตัดอ้อยสด แต่ยังไม่สามารถลดอ้อยเผาให้เป็นศูนย์ได้
รัฐบาลเริ่มมีมาตรการสนับสนุนอ้อยสดเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองในภาคเกษตรตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งส่งผลให้ปริมาณอ้อยเผาที่มีการรับซื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ปริมาณอ้อยเผาเฉลี่ยยังคงอยู่ที่ราว 30% (รูปที่ 4) ซึ่งจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก (GHG) เฉลี่ยปีละ 2.4 ล้านตันต่อปี หรือ 4% ของ GHG ในภาคเกษตรของประเทศไทย (รูปที่ 5)
แก้ปัญหาการเผาอ้อยและลด GHG ด้วยคาร์บอนเครดิต
คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยส่งเสริมให้มีการทำโครงการลด GHG โดย GHG ที่ลดได้ สามารถนำมาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตและซื้อขายได้ ประเทศไทยมีคาร์บอนเครดิตตามโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO)
ปัจจุบันมีโครงการขึ้นทะเบียน T-VER แล้วจำนวน 429 โครงการ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บ 12.9 ล้าน tCO2-e เป็นโครงการประเภทเกษตร 9 โครงการ ปริมาณ GHG ที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ 343,195 tCO2-e หรือ 3% ของโครงการที่ขึ้นทะเบียน (รูปที่ 6) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำสวนยาง
การเก็บเกี่ยวอ้อยสดทดแทนการเผาสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 4.9 tCO2 ต่อไร่ แต่การเก็บเกี่ยวอ้อยสดมีต้นทุนที่สูงกว่าการเก็บเกี่ยวด้วยการเผา ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดมีกำไรน้อยกว่าอ้อยเผา 519 บาทต่อไร่ (รูปที่ 7) โดยคำนึงถึงเฉพาะด้านเม็ดเงินที่เกษตรกรจะได้รับ
แต่คาร์บอนเครดิตที่ได้จากการหยุดเผาเศษวัสดุทางการเกษตรยังไม่มีมาตรฐานคาร์บอนเครดิตรองรับ จะต้องมีการออกมาตรฐานมารับรองคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมดังกล่าวด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอ 3 แนวทางลดการเผาอ้อยด้วยคาร์บอนเครดิต นอกเหนือจากแนวทางที่ภาครัฐพยายามสนับสนุนการตัดอ้อยสดอย่างต่อเนื่อง
1. เพิ่มแรงจูงใจการตัดอ้อยสดด้วยคาร์บอนเครดิต
กำหนดมาตรฐานคาร์บอนเครดิตจากการหยุดเผาเศษวัสดุทางการเกษตร โดยเบื้องต้นประเมินว่า ราคาคาร์บอนเครดิตอาจจะต้องไม่น้อยกว่า 126 บาทต่อ tCO2-e เพื่อให้การตัดอ้อยสดจากการรวมกลุ่มกันรับรองคาร์บอนเครดิตมากกว่า 1,500 ไร่ มีกำไรเทียบเท่าการตัดอ้อยเผาที่ 2,878 บาทต่อไร่ หรือรายได้สุทธิจากคาร์บอนเครดิตอยู่ที่ 519 บาทต่อไร่ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายรับรองคาร์บอนเครดิต (100 บาทต่อไร่ แต่อาจผันแปรตามเงื่อนไขแต่ละราย) ซึ่งจะสามารถลด GHG ได้ 4.9 tCO2 ต่อไร่ หรือใช้เงินทุนราว 915 ล้านบาทต่อปี
2. เพิ่มความเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตในประเทศกับมาตรฐานในต่างประเทศ
ปัจจุบันมีโครงการลด GHG ในประเทศกว่า 51% ที่ขึ้นทะเบียนกับมาตรฐานต่างประเทศ (รูปที่ 9) ซึ่งหากประเทศไทยสามารถพัฒนามาตรฐานคาร์บอนเครดิตให้เชื่อมโยงกับต่างประเทศได้ จะเพิ่มความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตจากต่างประเทศที่มีความต้องการลด GHG อีกเป็นจำนวนมาก
3. ส่งเสริมให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกอ้อยและหันมาปลูกป่าเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว
เกษตรกรสามารถปลูกไม้โตเร็วซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่า เช่น ยูคาลิปตัส มะฮอกกานี สนประดิพัทธ์ ไผ่ เป็นต้น ซึ่งนอกจากสามารถตัดขายเพื่อเป็นรายได้แล้ว ยังสามารถนำมาขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตได้ รวมถึงคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูกป่าจะมีราคาสูง เฉลี่ย 290 บาทต่อ tCO2-e
นอกจากการส่งเสริมด้วยคาร์บอนเครดิต หน่วยงานกำกับดูแลจะต้องดำเนินมาตรการควบคู่ด้วย ได้แก่
- ปรับปรุงเครื่องจักรเกี่ยวอ้อยสดให้เหมาะสมกับพื้นที่ขนาดเล็ก
- จัดทำระบบคาดการณ์และจัดลำดับการเก็บเกี่ยวอ้อยเพื่อให้ทันกับช่วงระยะเวลารับซื้อของโรงงาน
- สนับสนุนค่ารับรองคาร์บอนเครดิต
- สนับสนุนค่าใช้จ่ายของเอกชนจากการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero
การแก้ปัญหาการเผาอ้อยให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร โรงงานน้ำตาล ภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองและสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างยั่งยืน
ที่มา: