นับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน อาทิ สถานการณ์ภัยแล้ง อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นกว่าค่าปกติ 0.5 องศาเซียลเซียส ขึ้นไป ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่สองของปี 2566 จนถึงช่วงต้นไตรมาสที่สองของปี 2567
นอกจากนี้ จากการคาดการณ์ปรากฏการณ์เอนโซ่ (ENSO) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรและความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ เป็นปรากฏการณ์ทั้งเอลนีโญและลานีญา พบว่าในช่วงกลางไตรมาสที่สองของปี 2567 มีแนวโน้มที่สภาพภูมิอากาศจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ (Neutral) และในช่วงต้นไตรมาสที่สามของปี 2567 ถึงต้นไตรมาสแรกของปี 2568
ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) อย่างต่อเนื่อง โดยมีฝนตกหนักในพื้นที่หลายจังหวัด น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ข้างต้นเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วซึ่งไม่ได้พบได้บ่อยครั้ง
นอกจากนี้ ยังพบว่าปริมาณน้ำฝนลดลงและส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าค่าปกติ ดังจะเห็นได้จากปริมาณน้ำในเขื่อนทั่วประเทศ ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2567 มีปริมาตรรวม 43,354 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 61.12 ของความจุน้ำใช้การ ลดลง
จาก 45,489 ล้านลูกบาศก์เมตรในปีก่อน และเพิ่มขึ้นจาก 39,019 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2558 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ
สถานการณ์สภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น ทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าค่าปกติ และสถานการณ์ฝนตกน้อย ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ให้ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 และลดลงเมื่อเทียบกับช่วงที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรงในปี 2558
คาดว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จะกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร เช่น
- ข้าวเปลือก (สัดส่วนร้อยละ 14.85) ลดลงร้อยละ 6.0 (%YoY) และลดลงร้อยละ 29.8 เมื่อเทียบกับช่วงที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง (Super El Niño) ในปี 2558
- อ้อย (สัดส่วนร้อยละ 6.25) ผลผลิตปรับตัวลดลง ร้อยละ 12.2 (%YoY) และลดลงร้อยละ 17.2 เมื่อเทียบกับปี 2558
- มันสำปะหลัง (สัดส่วนร้อยละ 5.80) ผลผลิตปรับตัวลดลงร้อยละ 9.0 (%YoY) และลดลงร้อยละ 25.5 เมื่อเทียบกับปี 2558
จากผลผลิตที่ลดลง ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตรในไตรมาสแรกของปี 2567 ปรับตัวลดลง ร้อยละ 3.5 และลดลงร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับปี 2558 และคาดว่าแนวโน้มการเกิดปรากฏการณ์ลานีญาซึ่งทำให้เกิดฝนตกหนักฉับพลันจะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อผลผลิตภาคเกษตรโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี
ดังนั้น ภายใต้การเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนเพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญในเฝ้าระวัง ติดตาม และการวางแผนประเมิน
สถานการณ์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างใกล้ชิด และมีประสิทธิภาพเพื่อรองรับภัยพิบัติทางธรรมชาติทุกรูปแบบ พร้อมทั้งการยกระดับประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ การผันน้ำ การระบายน้ำและการกระจายแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อภาคเกษตร รวมไปถึงยกระดับความรู้ ความสามารถ เกี่ยวกับสถานการณ์ของความแปรปรวน
ด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้เกษตรกรมีความเข้าใจ และเข้าถึงหลักการกระบวนการใช้น้ำในการเพาะปลูกอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ควรส่งเสริม
มาตรการด้านการจัดการน้ำควบคู่กับด้านพันธุ์พืช โดยในระยะเริ่มต้นด้วยการให้เกษตรกรกระจายความเสี่ยงด้วยการปลูกพืชที่หลากหลายและพืชทนทานในทุกสภาพภูมิอากาศทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม
ขณะที่มาตรการในระยะถัดไปควรมุ่งเน้นส่งเสริมการปรับปรุงพันธุ์พืชชนิดอื่น ๆ ที่ทนต่อสภาพอากาศที่อาจจะแปรปรวนมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ความแปรปรวนทางสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของภาคเกษตร และเศรษฐกิจในภาพรวมได้น้อยลง