เมื่อต้นปี 2567 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ ม.ค. – มี.ค. 2567 เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน ผ่านการลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมัน และใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปอุดหนุนราคาน้ำมัน จากนั้นก็ได้มีการขยายมาตรการดังกล่าวออกไปอีกจนถึงต้นเดือน เม.ย.
ต่อมาคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาปรับขึ้นราคาดีเซลเป็นครั้งแรก ในวันที่ 6 เม.ย. 2567 จากไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ราคา 30.44 บาทต่อลิตร และทยอยปรับขึ้นต่อเนื่องเป็น 30.94, 31.44, 32.44 จนถึง 32.94 บาทต่อลิตร ซึ่งในวันที่ 7 พ.ค. 2567 ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกินราคา 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสิ้นสุดปลายเดือน ก.ค. 2567
การปรับขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าไปอุดหนุนราคาดีเซล เป็นหนี้จนติดลบทะลุแสนล้านบาท ขยับเข้าใกล้เพดานหนี้ที่กองทุนฯสามารถกู้ได้ 1.5 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง
ตรึงราคาดีเซลรอบที่สอง
ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 ก.ค. 2567 มติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้คงราคาดีเซลเป็นครั้งที่สอง ไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2567 โดยให้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปก่อน
สำหรับปัจจุบัน ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สิ้นสุด ณ วันที่ 14 ก.ค. 2567 มีสถานะติดลบอยู่ที่ 111,855 ล้านบาท แบ่งเป็น น้ำมัน ติดลบ 64,252 ล้านบาท และ ก๊าซธรรมชาติ (LPG) ติดลบ 47,603 ล้านบาท
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- เลิกตรึงดีเซล 30 บาท กองทุนน้ำมันฯติดลบหนักแสนล้าน
- รัฐเลิกอุดหนุนราคาพลังงาน ดันต้นทุนเพิ่ม กระตุ้นเงินเฟ้อพุ่ง
- มุมมองทีดีอาร์ไอ ขึ้นราคาดีเซลขั้นบันไดเหมาะสม ไม่กระทบประชาชนมาก