ThaiPBS Logo

มุมมองทีดีอาร์ไอ ขึ้นราคาดีเซลขั้นบันไดเหมาะสม ไม่กระทบประชาชนมาก

19 เม.ย. 256719:50 น.
มุมมองทีดีอาร์ไอ ขึ้นราคาดีเซลขั้นบันไดเหมาะสม ไม่กระทบประชาชนมาก
  • กองทุนน้ำมันฯ ขึ้นดีเซล 50 สต./ลิตร หลังหมดมาตรการลดภาษี และเตรียมปรับขึ้นแบบขั้นบันไดในอนาคต เพื่อลดภาระกองทุนฯ
  • ทีดีอาร์ไอ เห็นด้วยกับวิธีการปรับขึ้นดีเซลแบบขั้นบันได มองไม่กระทบภาระประชาชนมาก เพราะเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ แนะรัฐดูแลกลุ่มขนส่ง เพื่อควบคุมสินค้าไม่ให้ราคาปรับสูงเกินไป
  • ลดค่าการตลาดโรงกลั่นเพื่อพยุงราคาน้ำมัน เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น ควรปรับโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่นให้สะท้อนต้นทุนการกลั่นของไทยที่แท้จริง ไม่ใช่อิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์
บอร์ดกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีมติขึ้นราคาดีเซล 50 สต./ลิตร หลังหมดมาตรการลดภาษี เตรียมจ่อขึ้นแบบขั้นบันได เหตุกองทุนแบกหนี้จำนวนมาก นักวิชาการทีดีอาร์ไอเห็นด้วย เชื่อไม่กระทบภาระประชาชนมากนัก ชี้กองทุนฯยิ่งก่อหนี้มากก็ยิ่งเป็นภาระคนไทยในอนาคต พร้อมแนะ 3 ข้อแผนบริหารราคาน้ำมันในระยะยาว

ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติให้รักษาระดับราคาน้ำมันดีเซล โดยจะมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตรไปพลางก่อน มีผลวันที่ 20 เม.ย. 2567  หลังจากหมดมาตรการลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 1 บาท ในวันนี้ 19 เม.ย.

ในอนาคต กบน.อาจจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาเป็นแบบ เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จนทำให้ปัจจุบันสถานะกองทุนฯ ติดลบไปแล้วกว่า 103,000 ล้านบาท

กองทุนน้ำมันฯอุ้มดีเซลต่อไม่ไหว

ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.77 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณกว่า 8,000 ล้านบาทต่อเดือน หากไม่มีการชดเชย ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 36 บาทต่อลิตร และหากปล่อยให้มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในระดับเดิมต่อไปเรื่อย ๆ จะทำให้กองทุนฯ ติดหนี้เพิ่มมากขึ้นอาจจะกระทบกับวินัยการเงินและระดับความน่าเชื่อถือของกองทุนฯ ได้

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) อ้างอิงแหล่งข่าวจากวงการผู้ค้าน้ำมัน ว่า กบน.ปรับขึ้นราคาดีเซล 50 สตางค์ ส่วนอีก 50 สตางค์ที่เหลือนั้นจะให้ผู้ค้าพิจารณาลดค่าการตลาด เนื่องจากค่าการตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 2 บาทต่อลิตร

ทีดีอาร์ไอเห็นด้วยกับ กบน.ทยอยขึ้นดีเซลแบบขั้นบันได

อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ (TDRI) ให้สัมภาษณ์ Policy Watch ของ Thai PBS ว่า เห็นด้วยที่กองทุนน้ำมันฯ เตรียมพิจารณาทยอยขึ้นราคาดีเซลแบบขั้นบันได เพราะหากปรับขึ้นทีเดียวถึง 36 บาท จะกระทบค่าครองชีพประชาชนอย่างหนัก ซึ่งมีผลต่อค่าขนส่ง และจะกระทบราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในเวลาต่อมา นอกจากนี้ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ หากปรับขึ้นราคาน้ำมันอีกนิดหน่อย ก็ไม่น่าจะกระทบค่าครองชีพของประชาชนมากนัก

“ตอนนี้เงินเฟ้อค่อนข้างต่ำมากประมาณ 1% ดังนั้น สมมติว่าราคาน้ำมันปรับขึ้นอีกนิดหนึ่ง เงินเฟ้อคงปรับขึ้น แต่ไม่ได้สูงมากจนกระทั่งเกิดภาระค่าครองชีพประชาชนที่สูงมากเกินไป  คือ เงินเฟ้อระดับ 2-3% เป็นระดับที่เหมาะสม คือ ตอนนี้ของไทยเราต่ำมาก ถ้าจะปรับขึ้นอีกนิดจากราคาน้ำมันก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบในทางลบมากนัก”

หาก กบน.ให้ผู้ค้าน้ำมันช่วยลดค่าการตลาดพยุงดีเซล คิดว่าเหมาะสมหรือไม่?

ต้องดูว่าเป็นลดค่าการตลาดหน้าโรงกลั่น หรือค่าการตลาดที่ปั๊มน้ำมัน หากเป็นการลดค่าการตลาดหน้าโรงกลั่น ก็ควรใช้วิธีปรับโครงสร้างราคาน้ำมันมากกว่าเพียงกดดันผู้ผลิตน้ำมัน ปัจจุบันไทยใช้ราคาหน้าโรงกลั่นอ้างอิงจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ ซึ่งจะมีค่าขนส่งรวมด้วย แต่ความจริงต้นทุนของไทยไม่ได้สูงถึงขนาดนั้น หากปรับโครงสร้างราคาน้ำมันก็จะช่วยในระดับหนึ่งได้ แต่ถ้ากดค่าการตลาดหน้าโรงกลั่นอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ดูเรื่องของต้นทุน มองว่าไม่ได้เป็นการช่วยเหลือทั้งผู้ผลิตน้ำมันและผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น

ความจำเป็นของกองทุนน้ำมันฯในการอุดหนุนพลังงาน

กองทุนน้ำมันฯ ยังควรต้องอุดหนุนราคาน้ำมันอยู่ แต่ไม่ใช่อุดหนุนแบบแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งอาจจะเข้ามาอุดหนุนในระยะแรก แล้วค่อย ๆ ลดเงินชดเชยแบบขั้นบันได และมาตรการลดภาษีสรรพสามิตรก็ควรที่จะเข้ามาช่วยด้วย เพื่อให้ราคาน้ำมันกระทบผู้บริโภคมากเกินไป

นอกจากนี้กลุ่มที่ต้องให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษ คือ รถบรรทุกที่ใช้ขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค โดยภาครัฐควรให้การสนับสนุนในระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับสูงขึ้นจนเกินไป เนื่องจากไทยเคยมีกรณีราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งตรงนี้ภาครัฐควรเข้ามาดูทั้งสองด้าน ด้านแรกไม่ให้กระทบต้นทุนค่าขนส่งมาเกินไป อีกด้านหนึ่งจะต้องดูและไม่ให้ราคาสินค้าปรับสูงขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล

แผนการบริหารราคาน้ำมันในระยะยาวฉบับทีดีอาร์ไอ

แม้การพยุงราคาน้ำมันจะมีความจำเป็นสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาในระดับหนึ่ง แต่ในระยะยาวน่าจะมีมาตรการที่ดีกว่านั้น คือ 1.ดูว่ามีนโยบายอะไรที่ช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันมากกว่านี้หรือไม่ เช่น ใช้รถอีวีมากขึ้น ตรงนี้ก็จะช่วยลดการใช้น้ำมัน 2.โครงสร้างราคาน้ำมันมีการคิดแบบสมเหตุสมผลหรือไม่ ราคาหน้าโรงกลั่นจะสามารถปรับให้เป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนการกลั่นน้ำมันของประเทศไทยจริง ๆ ไม่ได้อ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ 3.ดูว่าไทยสามารถใช้พลังงานเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นได้หรือไม่ เพื่อมาช่วยการใช้เชื้อเพลิงในประเทศนอกจากน้ำมันที่จะต้องนำเข้า

“การใช้กองทุนพยุงราคาน้ำมัน ถามว่าสำคัญสำหรับประเทศไทยไหม ยังคงสำคัญอยู่ แต่ว่าควรที่จะมีการพยุงราคาน้ำมันที่ควรจะสะท้อนราคาความเป็นจริงมากกว่านี้ ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น เราก็ควรจะปรับราคาได้บ้าง แต่ว่าอาจจะไม่ถึง 36 บาท อาจจะลดลงมานิดหนึ่งเป็น 34 บาท หรือ 33 บาท ไม่ใช้กดที่ 30 บาทตลอดไป อันนี้ไม่ถูกต้อง เพราะมันเหมือนเป็นการหลอกประชาชนไปเรื่อย ๆ แล้วมันจะภาระของกองทุน และจะเป็นภาระของคนไทยในอนาคตแน่นอน เพราะพวกนี้มันคือการก่อหนี้สิน”

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

ลดค่าครองชีพ

“นโยบายเร่งด่วนถัดมา คือ การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ รัฐบาลจะสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในทันที" - คำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา ในวันที่ 11 ก.ย. 2566

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: