เมื่อ 3 ก.ย. 68 คณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. … (กมธ. ร่วม) ได้เรียกประชุมด่วนทันทีภายหลังมีข่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้ทูลเกล้าถวายราชกฤษฎีกายุบสภา
การเร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ไม่แน่นอนนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงแรงกดดันจากกลุ่มประมงพาณิชย์ผ่านฐานเสียงในจังหวัดชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดในภาคตะวันออก แต่ยังสะท้อนถึงการจงใจไม่รับฟังข้อคัดค้านจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น จนไปสู่กระแสคัดค้านจากภาคประชาสังคมและกลุ่มประมงพื้นบ้านที่เกรงว่ากฎหมายฉบับใหม่จะถอยหลังสู่การทำลายทรัพยากรทางทะเล และลดมาตรการคุ้มครองแรงงาน
ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) จับตาใกล้ชิด พร้อมส่งสัญญาณเตือนว่า ไทยอาจเผชิญความเสี่ยงซ้ำรอย “ใบเหลือง” อีกครั้งหากการแก้ไขกฎหมายบั่นทอนมาตรฐานการจัดการประมงอย่างยั่งยืนและหลักสิทธิมนุษยชน
จุดเริ่มต้น: จากกฎหมายประมงปี 2558 สู่การแก้ไขกฎหมายที่น่ากังวล
พระราชกำหนดการประมงปี 2558 เกิดขึ้นหลังไทยถูกอียูให้ “ใบเหลือง” เนื่องจากระบบควบคุมการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล รัฐบาลไทยในเวลานั้นจึงต้องเร่งปฏิรูปกฎหมาย จัดตั้งระบบตรวจสอบย้อนกลับ และเพิ่มมาตรการด้านแรงงาน เพื่อยกเลิกใบเหลืองและฟื้นความน่าเชื่อถือ ผลลัพธ์คือ ไทยสามารถหลุดจากมาตรการคว่ำบาตร และยังใช้กฎหมายปี 2558 เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนและสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมอาหารทะเล
แต่การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ประมงฯ ล่าสุดกลับถูกวิจารณ์ว่ามีลักษณะ “ถอยหลัง” โดยผ่อนคลายหลายมาตรการสำคัญ เช่น การตรวจสอบแรงงาน การห้ามใช้อวนล้อมจับปั่นไฟ หรือการจำกัดการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเล ซึ่งฝ่ายคัดค้านการแก้ไขร่างฉบับนี้เห็นว่าจะบั่นทอนความพยายามตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
กระแสคัดค้าน: “เช็คเปล่า” และความไม่ไว้วางใจ
สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย โดยถอนตัวออกจากกระบวนการพิจารณา เหตุผลสำคัญคือไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลและหน่วยงานราชการจะทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง และไม่ต้องการเป็น “ตรายาง” ให้กับกฎหมายที่อาจเปิดทางให้กลุ่มทุนประมงพาณิชย์ขยายการทำลายทรัพยากรทะเล
โดยเฉพาะ มาตรา 69 ที่อนุญาตให้ใช้อวนล้อมจับปั่นไฟในเวลากลางคืน ซึ่งนักวิชาการและนักอนุรักษ์เตือนว่าเป็นวิธีทำประมงที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ทำลายล้างต่อระบบนิเวศ ทำให้สัตว์น้ำวัยอ่อนไม่มีโอกาสเติบโต และเสี่ยงต่อการ “ล่มสลาย” ของทรัพยากรในอนาคต
นอกจากนั้น ยังมีมาตราที่เป็นข้อกังวลอื่น ๆ ได้แก่:
- มาตรา 10/1–11/1: เพิกถอนการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำ
- มาตรา 85/1: ผ่อนปรนข้อห้ามการขนถ่ายสัตว์น้ำกลางทะเล ทำให้การตรวจสอบย้อนกลับอ่อนแอลง
- มาตรา 114: ผ่อนปรนความผิดร้ายแรงและโทษปรับลงร้อยละ 50–97 ในหลายองค์ความผิด
สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยเตือนว่า การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้เปรียบเสมือนการ “เซ็นเช็คเปล่า” ให้กลุ่มทุนประมงพาณิชย์สามารถทำลายทรัพยากรทะเลได้อย่างเสรี โดยเฉพาะการเปิดช่องให้อวนล้อมจับปั่นไฟในเวลากลางคืน ซึ่งไม่เพียงเร่งให้สัตว์น้ำถูกทำลาย แต่ยังคุกคามความยั่งยืนของระบบนิเวศทางทะเล
ชาวประมงพื้นบ้านซึ่งเคยพึ่งพาทรัพยากรเหล่านี้เพื่อดำรงชีพกำลังสูญเสียทั้งพื้นที่ทำกินและสิทธิในการเข้าถึงแหล่งอาหาร การละเลยมาตรการปกป้องนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าชุมชนชายฝั่งไทยอาจถูกผลักออกจากวิถีชีวิตดั้งเดิม และความเสี่ยงต่ออนาคตของอาหารทะเลที่ปลอดภัยและยั่งยืนกำลังเพิ่มสูงขึ้น
บรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย เชื่อว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาอนุญาตการใช้อวนตาถี่ (อวนล้อมจับ) ตามมาตรา 69 โดยอ้างเหตุผลด้านเศรษฐกิจ แต่หากกฎหมายนี้ผ่านไป จะเป็นการทำลายสมดุลทางทะเลไทยอย่างร้ายแรง สร้างผลเสียต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอนาคตการประมงของประเทศ
สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ภาคใต้ กล่าวว่า การจับสัตว์น้ำที่รับผิดชอบ คือการใช้เครื่องมือแบบเลือกชนิดและเลือกขนาด (โตเต็มวัย) นั่นคือวิธีการรักษาสมดุลของระบบนิเวศด้านการประมงที่ดีที่สุด และเป็นความเท่าเทียมในการทำประมงร่วมกันของชาวประมงทุกกลุ่มทุกขนาด และสิ่งนี้คือหลักการประชาธิปไตยที่กินได้
ด้านนัฐวฒิ กาเซ็ม ผู้แทนมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) เห็นว่า ประชาชนไทยควรมีสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรทางทะเลอย่างยุติธรรม การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้หากไม่คำนึงถึงความยั่งยืน จะสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มทุนประมงพาณิชย์และชุมชนประมงพื้นบ้านรายย่อย ทำลายโอกาสในการดำรงชีพและรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม
“ความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อมหมายถึงการปกป้องทั้งทรัพยากรและสิทธิของผู้คน การผ่อนปรนมาตรการคุ้มครองสัตว์น้ำและระบบนิเวศ ทำให้ชุมชนชายฝั่งและแรงงานประมงข้ามชาติต้องแบกรับความเสี่ยงเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นธรรมและไม่ยั่งยืน” นัฐวฒิกล่าว
สัญญาณเตือนจากอียู: เสี่ยงซ้ำรอย “ใบเหลือง”
สหภาพยุโรปซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกอาหารทะเลหลักของไทย แสดงความกังวลหลายครั้งต่อการแก้ไขกฎหมายนี้ โดยชี้ว่า “การผ่อนปรนมาตรการ IUU ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้” และเตือนว่าอาจส่งผลต่อการพิจารณาใบเหลืองอีกครั้ง หากไทยไม่สามารถรักษามาตรฐานเดิมได้ สถานการณ์ยิ่งน่าจับตาเมื่อไทยและอียูจะมีการประชุมคณะทำงานร่วมด้าน IUU ระหว่าง 18–19 ก.ย. 68 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่ยุโรปใช้ติดตามความคืบหน้า ด้านกรมประมงไม่สามารถใช้ข้ออ้างว่ากฎหมายยังอยู่ในชั้นพิจารณาได้อีกต่อไป เพราะ กมธ.ร่วม ได้พิจารณา ร่าง พ.ร.บ. ประมงฯ เป็นที่แล้วเสร็จ
ความเสี่ยงจากการแก้ไขกฎหมายประมงไม่ได้จำกัดเพียงการกลับไปสู่ “ใบเหลือง” จากสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่ยังขยายผลไปสู่ความพยายามเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย–อียู (Thai–EU FTA) ซึ่งถูกวางกรอบให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิแรงงานเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเข้าถึงตลาด หากไทยไม่สามารถแสดงความจริงจังในการจัดการประมงอย่างยั่งยืนและคุ้มครองแรงงานได้ การเจรจาเพื่อเปิดตลาดส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดของไทยอาจสะดุดทันที ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยทั้งรายเล็กและรายใหญ่เสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่ชุมชนชายฝั่งและแรงงานประมงที่พึ่งพาอุตสาหกรรมนี้เพื่อความอยู่รอดอาจเผชิญความเสี่ยงทั้งด้านรายได้และความมั่นคงในการทำกิน
เศรษฐกิจการประมง: เสาหลักที่สั่นคลอน
ข้อมูลปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมประมงไทยสร้างรายได้สูงสุดในรอบทศวรรษ โดยการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลมีมูลค่าถึง 240,062 ล้านบาท ตลาดหลักประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป
ตัวเลขนี้ไม่เพียงแต่จะชี้ว่า การทำประมงเป็นตัวสร้างรายได้มหาศาลให้ไทย แต่ยังสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อความยั่งยืนและความโปร่งใสของการจัดการทรัพยากรทะเลไทย
หากกฎหมายประมงฉบับใหม่ถูกมองว่าอ่อนแอหรือเปิดช่องให้เกิดการทำประมงผิดกฎหมายและละเมิดสิทธิแรงงาน ความเสี่ยงต่อการถูกกีดกันทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นทันที ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบเข้มงวดขึ้นที่ท่าเรือยุโรป การขึ้นภาษีนำเข้า หรือแม้กระทั่งการปิดตลาดต่อสินค้าบางประเภท ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่และรายย่อย
นอกจากนี้ ยิ่งตอกย้ำความเปราะบางของชุมชนชายฝั่งและแรงงานประมงที่พึ่งพาอุตสาหกรรมนี้ในการดำรงชีพ นักอนุรักษ์และนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การละเลยมาตรการคุ้มครองทรัพยากรและแรงงานไม่ใช่แค่เรื่องความยั่งยืน แต่หมายถึงความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งอาจเสียหายอย่างรุนแรงหากมาตรฐานสากลไม่ถูกปฏิบัติอย่างจริงจัง
การเมืองของการเข้าถึงทรัพยากร: ความอยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม
การเร่งปิดการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ประมงในช่วงเวลาที่การเมืองไทยยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ถูกนักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่าเป็น “การแข่งขันกับเวลา” ของกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม ที่พยายามล็อกกติกาและข้อยกเว้นต่าง ๆ ในกฎหมายไว้ก่อนที่สมดุลอำนาจทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลง
การกระทำเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายซึ่งควรเป็นเครื่องมือเพื่อการปฏิรูปและรักษาผลประโยชน์สาธารณะ กลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อคงอิทธิพลและผลประโยชน์ของกลุ่มทุนขนาดใหญ่
ในมุมมองนี้ ร่าง พ.ร.บ. ประมงฯ จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการจัดการทรัพยากรทะเล แต่กลายเป็นสนามต่อสู้ทางอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่ผลลัพธ์ของกฎหมายจะกำหนดว่าใครจะได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ และใครจะถูกจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพยากร ขณะที่ชุมชนชายฝั่งและแรงงานประมงซึ่งพึ่งพาทรัพยากรเหล่านี้เพื่อดำรงชีพ กำลังกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบจากกระบวนการที่ขาดความโปร่งใสและความเป็นธรรม
ในมุมคนทั่วไปที่เป็นผู้บริโภคก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะเมื่อผู้เล่นในตลาดประมงเหลือเพียงหยิบมือ เราอาจไม่เหลือทางเลือกในการเลือกซื้อสินค้าแปรรูปสัตว์น้ำที่มาจากผู้ประกอบรายเล็ก หรือผู้ประกอบการที่ทำประมงอย่างยั่งยืนและตรวจสอบได้
เริ่มแก้กฎหมายลูก: ปลดล็อกระบบติดตามเรือ
หากเมื่อ ร่าง พ.ร.บ. ประมงได้รับความเห็นชอบทั้งจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจนไปสู่การบังคับใช้ ยังมีเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อกฎหมายแม่ได้รับการแก้ไขก็จะเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขกฎหมายลำดับรองหรือกฎหมายลูกตามไปด้วย ซึ่งกระบวนการการแก้ไขกฎหมายลูกนั้นเป็นอำนาจของผ่านบริหารหรือฝ่ายข้าราชการประจำจึงยากต่อการตรวจสอบถ่วงดุลโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ยกตัวอย่างเช่น กฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทำการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ำ พ.ศ. 2565 พ.ศ. 2568 ซึ่งเพิ่งประกาศบังคับใช้ จะพบว่ากฎกระทรวงดังกล่าวคือการยกเลิกการบังคับติดระบบติดตามเรือ (Vessel Monitoring System: VMS) ในกองเรือสนับสนับสนุนการทำประมงซึ่งมีจำนวนหลายร้อยลำ เป็นที่น่าสังเกตว่าการยกเลิกระบบติดตามเรือดังกล่าวนั้นขัดต่อคำเตือนของอียูหากประเทศไทยแก้กฎหมายในลักษณธผ่อนคลายลงอียูอาจจะพิจารณาให้ใบเหลืองประเทศไทยอีกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าระบบติดตามเรือนั้นเป็นมาตการสำคัญในการป้องปรามการขนถ่ายสัตว์น้ำหรือลูกเรือกลางทะเล ที่อาจนำไปสู่การบังคับใช้แรงงานหรือการค้ามนุษย์อีกด้วย หากการแก้ไขกฎหมายลูกที่ตามมาย่อมเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งถึงความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อม สิทธิมานุยชน ร่วมถึงการค้าระหว่างประเทศ
บทวิเคราะห์: ระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นกับความยั่งยืนระยะยาว
ร่าง พ.ร.บ. ประมงฉบับใหม่ถูกวางอยู่บนสมการอันซับซ้อนที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม แรงงาน และการระหว่างประเทศเข้าด้วยกัน การผ่อนปรนกฎหมายอาจช่วยให้ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตในระยะสั้น
แต่ความเสี่ยงในระยะยาวกลับพุ่งสูงขึ้น เพราะมาตรการเหล่านี้อาจทำลายความเชื่อมั่นของตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความยั่งยืน การสูญเสียความน่าเชื่อถืออาจสะท้อนโดยตรงต่อการเข้าถึงตลาดส่งออกสำคัญอย่างสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
ในด้านสิ่งแวดล้อม การอนุญาตให้อวนล้อมจับปั่นไฟและเครื่องมือทำลายล้างอื่น ๆ จะเร่งให้ทรัพยากรสัตว์น้ำวัยอ่อนและระบบนิเวศทางทะเลเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว การทำลายทรัพยากรเช่นนี้สวนทางกับหลักการประมงอย่างยั่งยืน และอาจลดความสามารถของทะเลไทยในการฟื้นตัวและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในระยะยาว
ด้านแรงงาน การลดทอนมาตรการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำอาจย้อนกลับไปสู่ภาพลักษณ์อาหารทะเลจากแรงงานบังคับที่ไทยพยายามลบล้างมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งยังสร้างความไม่มั่นคงให้กับแรงงานข้ามชาติและผู้ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านที่พึ่งพาอุตสาหกรรมนี้ในการดำรงชีพ
ด้านการระหว่างประเทศ การปรับกฎหมายในทิศทางผ่อนปรนเสี่ยงทำให้ไทยถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากสหภาพยุโรปอีกครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่การทบทวนมาตรการ “ใบเหลือง” และกระทบต่อความพยายามเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย–อียู (Thai–EU FTA) ที่กำหนดให้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิแรงงานเป็นเงื่อนไขสำคัญ
หากไทยไม่สามารถพิสูจน์ความจริงจังในการจัดการประมงอย่างยั่งยืนและคุ้มครองแรงงานได้ ความพยายามเปิดตลาดส่งออกใหม่อาจสะดุดทันที ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่และรายย่อย
บทสรุป: บททดสอบของไทยบนเวทีโลก
การตัดสินใจรวบรัดตัดตอนร่าง พ.ร.บ. ประมงฉบับใหม่ในวันนี้ ไม่เพียงส่งผลต่ออุตสาหกรรมประมงไทย แต่ยังสะท้อนถึงความสามารถของไทยในการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ปกป้องแรงงาน และสร้างความเชื่อมั่นในสายตาตลาดโลก กฎหมายฉบับนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการจัดการอุตสาหกรรมประมง แต่กลายเป็นบททดสอบทางการเมืองและการระหว่างประเทศ ที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของไทยในเวทีโลก
ผลลัพธ์ของกฎหมายจะสะท้อนความจริงจังของรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนทั้งชาติที่เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติและชุมชนชายฝั่ง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวชี้วัดความสามารถของไทยในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิมนุษยชน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
เตือนไทยแล้วหลายครั้ง แก้กฎหมายประมง เสี่ยงระเมิด IUU