ความเคลื่อนไหวล่าสุด
28 พ.ย. 68 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค.2568
25 พ.ย. 68 ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ.เปิดประชุมสมัยวิสามัญรัฐสภา 10-11 ธ.ค. เปิดทางแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จวาระ 3 ก่อนสิ้นปี
21 พ.ย. 68 กมธ. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดคุณสมบัติผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญและลักษณะต้องห้าม พร้อมกำหนดห้ามมิให้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 3 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
20 พ.ย. 68 กมธ. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้บัญญัติเงื่อนไขกรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ ห้ามแก้ไขหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์
19 พ.ย. 68 กมธ. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีมติกำหนดกรอบทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 360 วัน ซึ่งเป็นไปตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่พรรคภูมิใจไทยเสนอ
18 พ.ย. 68 กมธ. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีมติเห็นชอบให้มี คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน จำนวน 35 คน นั้น โดยใช้กติกาเดียวกับ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ คือ ให้ประชาชนสมัครเข้ารับการคัดเลือกจากรัฐสภา และใช้สูตร “20 หยิบ 1” คือ ให้สมาชิกรัฐสภารวมกลุ่มกัน 20 คน เพื่อเลือก กรรมการรับฟังความคิดเห็นจำนวน 1 คน
13 พ.ย. 68 กมธ. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีมติเห็นชอบ ให้มี กมธ. ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน มาจากสมาชิกรัฐสภา (สส. และ สว.) ที่รวมตัวกันได้ 20 คน (มาจากจำนวนสมาชิกรัฐสภา 700 คน หารด้วยกมธ. ร่าง 35 คน) คัดเลือกผู้ร่างได้ 1 คน เพื่อป้องกัน กมธ. ยกร่างฯ มาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และให้มีตัวแทนที่หลากหลาย โดยกำหนดกรอบเวลาคัดเลือก 60 วัน หากไม่ครบ 35 คน ต้องไม่น้อยกว่า 32 คน (90%)
ประชาชนผู้ประสงค์สมัครรับเลือกเป็น กมธ. ร่างฯ ต้องยื่นใบสมัครต่อ กกต. เพื่อให้รัฐสภาเลือก ซึ่งจะไม่ขัดความเห็นศาลรฐน. สำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชน เน้นที่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้เสียงของประชาชนเป็นผู้กำหนดรัฐธรรมนูญ
12 พ.ย. 68 กมธ. ลงมติแนวทางกลไกยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้มี กมธ. ร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงองค์กรเดียว ตัดประเด็น สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตามร่าง พ.ร.บ. หลักที่เสนอโดยพรรคประชาชน โดยเปลี่ยนให้เป็น คณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐสภา
7 พ.ย. 68 วาระการโหวตโมเดลเลือก สสร. ของที่ประชุม กมธ. ต้องเลื่อน เพราะสมาชิกไม่ครบองค์ประชุม ขณะที่ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวว่า กระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในชั้น กมธ. ควรเสร็จสิ้นภายในปลายเดือน พ.ย. หรือต้นเดือน ธ.ค. ซึ่ง กมธ. อาจต้องขอให้สภาเปิดประชุมวิสามัญฯ ก่อนประชุมสามัญ วันที่ 12 ธ.ค.68
5 พ.ย. 68 นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจไม่สำเร็จ หากมีผู้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจและยุบสภา
30 ต.ค. 68 กกต.ประกาศเตรียมความพร้อมจัดเลือกตั้ง พร้อมประชามติแก้รัฐธรรมนูญและการยกเลิก MOU 2543-2544 หากรัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้ง 29 มี.ค. จะต้องส่งคำถามประชามติแรกก่อนวันที่ 13 ม.ค. 69 หรืออย่างช้าสุดไม่เกินวันที่ 28 ม.ค. 69 ซึ่งยังอยู่ในกรอบเวลา 60-150 วัน ของกฎหมายประชามติ 2568
24 ต.ค. 68 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีหารือกับ กกต. กำหนดแนวทางจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และการยกเลิกหรือปรับปรุง MOU 43 และ 44 ในวันเดียวกับวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป
21 ต.ค. 68 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 เปิดทางให้การออกเสียงประชามติตรงกับวันเลือกตั้งได้
15 ต.ค. 68 รัฐสภาโหวตรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ขณะที่ไม่รับหลักการร่างของพรรคเพื่อไทย ซี่งร่างหลักในการพิจารณาชั้น กมธ. คือร่างของพรรคประชาชน
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ชี้แจงว่า รัฐสภาต้องลงมติร่างฯ ในวาระที่ 3 ระหว่าง วันที่ 15 – 20 ธ.ค. 68 หรือ 15-19 ม.ค. 69 เพื่อให้ทันยุบสภาวันที่ 31 ม.ค. 69 และทำประชามติรัฐธรรมนูญพร้อมเลือกตั้งวันที่ 29 มี.ค. 69
29 ก.ย. 68 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยจะรับฟังแนวทาง ข้อเสนอแนะ และคำแนะนำต่าง ๆ ซึ่งการอภิปรายวันนี้ได้มีการหารือกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เตรียมความพร้อมในการชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นข้อสงสัยของสมาชิกรัฐสภา ตลอดจนรับคำแนะนำและข้อเสนอแนะที่ดีไปต่อยอดและนำไปปฏิบัติ
หากมีความตั้งใจก็จะสามารถดำเนินการได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งในวันที่ 14-15 ต.ค.นี้จะมีการเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อรับหลักการ
25 ก.ย. 68 ชูศักดิ์ ศิรินิล และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เพื่อเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ญัตติดังกล่าวเสนอให้มีการจัดทำประชามติ 2 ครั้ง คือครั้งแรกเพื่อขอความเห็นชอบในการมีรัฐธรรมนูญใหม่ และอีกครั้งเพื่อรับรองร่างที่แล้วเสร็จ จากนั้นจึงจะมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จำนวน 151 คน มาจากการคัดเลือกโดยรัฐสภา ทั้งจากผู้แทนแต่ละจังหวัด 100 คน และผู้เชี่ยวชาญอีก 51 คน เพื่อมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน
คำแถลงนโยบายระบุว่า “สิ่งที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ข้อแรกคือ จะไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 และพระราชอำนาจที่อยู่ในมาตราต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องหลัก และตั้งใจจะให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้จบภายใน 4 ปี ตามวาระรัฐบาล”
รัฐบาลตั้งเป้าหมายจะให้เสร็จสิ้นพร้อมมีกฎหมายลูกประกอบ เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถทำได้เลย และตั้งมั่นที่จะให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน เพื่อนำมาใช้ให้ได้ ซึ่งก็ต้องพยายามรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นประชาธิปไตยให้ได้มากที่สุด สามารถที่จะลดความขัดแย้ง ไม่อยากให้การสร้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นการสร้างความขัดแย้งใหม่ให้เกิดขึ้นและไม่ให้มีข้อถกเถียงที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ และคิดว่าการทำรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย จำเป็นต้องมีวิวัฒนาการและเป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกตั้งที่ดี
ข้อแตกต่างระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่ เพื่อไทย-ก้าวไกล
พรรคเพื่อไทย มีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายผลักดันให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ขจัดการสืบทอดอำนาจเผด็จการ สร้างความเป็นธรรมให้ประชาชน
- • จัดทำ “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” โดยคงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและผ่านขั้นตอนการออกเสียงลงประชามติโดยประชาชน
- • “ปฏิรูประบบราชการทั้งระบบ” ให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว และมีความโปร่งใส
- • ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อความโปร่งใส คำนึงถึงหลักนิติธรรม “สร้างกระบวนการยุติธรรมที่ซื้อไม่ได้”
- • ปรับปรุงยกเลิกกฎหมายทั้งหมดตามความจำเป็นลดกฎหมาย ลดขั้นตอน ลดการใช้ดุลยพินิจ
- • กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับองค์กรอิสระต้องมีความเป็นอิสระ มีการคานอำนาจและมีความโปร่งใส
- • ปฏิรูปกองทัพเป็นทหารมืออาชีพ ป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน ให้มีความเป็นทหารอาชีพ และแก้ไขกฎหมายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้เข้ารับราชการทหารโดยสมัครใจ
- • เสนอกฎหมายป้องกันต่อต้านการรัฐประหาร
- • กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จัดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดนำร่อง
ส่วนพรรคก้าวไกล ระบุถึงเหตุผลในการแก้ไขรัฐบาลว่ารัฐธรรมนูญในฐานะกฎหมายสูงสุดของประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เป็นต้นตอของปัญหาการเมืองไทย เพราะมีที่มา กระบวนการ และเนื้อหา ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หากแต่ออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหารและระบอบประยุทธ์ อีกทั้งยังถูกเขียนโดยคนไม่กี่คนที่ คสช. แต่งตั้งอันเป็นผลให้เนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2560 มีการขยายอำนาจของสถาบันทางการเมืองที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่ยึดโยงกับ คสช. และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจ
นอกจากนั้นแล้วกระบวนการประชามติในปี 2559 ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานประชาธิปไตย เพราะไม่ได้เปิดให้ทั้งสองฝ่ายรณรงค์ได้อย่างเท่าเทียมกัน มีคำถามพ่วงที่กำกวมและชี้นำ และเกิดขึ้นในสภาวะที่ประชาชนถูกบีบว่าหากไม่รับร่าง คณะรัฐประหารจะอยู่ในอำนาจต่อและจะไม่มีการเลือกตั้ง
ข้อเสนอ
- ร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยมีเนื้อหาที่ครอบคลุมอย่างน้อย 3 ด้าน
- ปิดช่องรัฐประหาร เพื่อไม่ให้รัฐธรรมนูญถูกฉีกได้ง่าย
- เพิ่มสิทธิของประชาชนในการต่อต้านรัฐประหาร และ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะรัฐประหาร
- ห้ามศาลทั้งปวงรับรองรัฐประหาร และกำหนดให้ทุกสถาบันทางการเมืองมีหน้าที่ร่วมกันในการปกป้องประชาธิปไตย
- ห้ามนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร และ เปิดช่องให้ประชาชนดำเนินคดีกับผู้ก่อรัฐประหารในความผิดฐานกบฎได้
- ปกป้องเสียงของประชาชน ผ่านการรื้อกลไกที่ถูกใช้ในการสืบทอดอำนาจ
- ยกเลิกวุฒิสภาของ คสช. ทำให้รัฐสภาเป็นของประชาชน อำนาจ-ที่มามีความชอบธรรม
- ยกเครื่องศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระ ทำให้เป็นกลาง มีระบบตรวจสอบที่ยึดโยงกับประชาชน
- ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้นโยบายเท่าทันโลก และกำจัดข้ออ้างในการไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
- ปลดล็อกท้องถิ่น เพื่อให้อำนาจในการกำหนดอนาคตของทุกพื้นที่ทุกจังหวัด อยู่ในมือของประชาชนผู้เกิด-ผู้อาศัย-ผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่ ไม่ใช่ส่วนกลาง
เมื่นที่ 25 ธ.ค. 2566 ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 แถลงผลประชุมฯ ว่า
- จะถามคำถามเดียวว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ที่จะมีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”
- ทำประชามติ 3 รอบ
- 1. การทำประชามติถามประชาชนว่าเห็นด้วยกับการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ (ก่อนแก้ไข)
- 2. การทำประชามติตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256
- 3. การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (หลังยกร่างฉบับใหม่ ก่อนทูลเกล้าฯ ถวาย)
- คณะกรรมการจะนำข้อสรุปที่ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ม.ค. 2567 หรือภายในไตรมาศแรกของปี 2567 ต่อไป
- ที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) การออกแบบที่มาของสสร. ขึ้นอยู่กับกระบวนการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในรัฐสภา
- งบประมาณ คาดว่าการทำประชามติแต่ละครั้งใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท