สถานการณ์ทางการเมืองและบทสนทนาบนหน้าสื่อปัจจุบัน ยังจำกัดอยู่แค่เรื่องเชิงเทคนิค พูดถึงแต่เรื่องการแก้ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ …) พ.ศ. .… และต้นทุนที่รัฐต้องใช้ในการแก้รัฐธรรมนูญ ส่งผลให้รัฐธรรมนูญในสังคมไทยกลายเป็นเรื่องไกลตัว เข้าใจยาก และเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ แต่ในความจริงแล้ว เป็นเรื่องใกล้ตัว เกี่ยวข้องกับการกำหนดชีวิตและอนาคตของประเทศ
Policy Watch – The Active ไทยพีบีเอส ร่วมกับองค์กรเครือข่าย เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความเห็น ชวนทุกคนเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญของประชาชน โดยเริ่มนับหนึ่งจากการออกแบบ สสร. ผ่านการสนทนาสาธารณะ “ร้อยเหตุผล ร่วมสนทนา ร่างรัฐธรรมนูญ” โดยมีผู้ร่วมสนทนาจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ประชาสังคม และนักวิชาการ ที่ติดตามและหวังให้ประเทศไทยดีขึ้น ผ่านกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กว่า 40 คน
กิจกรรม เริ่มต้นด้วยการแบ่งกลุ่มสนทนาออกเป็น 8 กลุ่มย่อย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและหาเป้าหมายร่วมกัน ถึง ที่มา, คุณสมบัติอำนาจหน้าที่ และการมีส่วนร่วมของ สสร. ก่อนสรุปออกมาเป็นข้อเสนอ นำไปพูดคุยต่อบนเวที “Policy Forum ครั้งที่ 25 : ออกแบบ สสร. ร่างรัฐธรรมนูญของประชาชน” เพื่อต่อยอดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา เพื่อหาทางไปต่อ ไม่ให้บทสนทนาที่เกิดขึ้นในวันนี้สูญเปล่า
โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต สสร. และกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ, นิกร จำนง เลขานุการ และ กมธ.ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ, พริษฐ์ วัชรสินธุ ประธาน กมธ.การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ กมธ.ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ, ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (Call), รศ.วรรณภา ติระสังขะ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมด้วยภาคประชาสังคมที่ติดตามและหวังให้ประเทศไทยดีขึ้น ผ่านกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมี อรุชิตา อุตมะโภคิน และ ปุรวิชญ์ วัฒนสุข เป็นผู้ดำเนินการสนทนา
รัฐธรรมนูญควรคุยตั้งแต่วันนี้ เพราะไม่ช้าเร็วก็ต้องมีฉบับใหม่
แม้ทิศทางการเมืองในเวลานี้จะให้ความสนใจไปกับเรื่องอื่น มากกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ “พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล” ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มคุยกันตั้งแต่วันนี้ เพราะเกี่ยวข้องกับทุกคน และเป็นตัวกำหนดแนวทางชีวิต และอนาคตของประเทศ
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ยังอีกไกล แต่ต้องคุยได้ทุกเวลา เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่า นี่คือกฎหมายกฎหมายสูงสุด และสำคัญกับเรา ไม่วันนี้ พรุ่งนี้ ก็ต้องการรัฐธรรมนูญใหม่อยู่ดี ดังนั้น ไม่ว่าบรรยากาศของสังคมจะเป็นอย่างไร ในช่วงเวลาที่เราจะเริ่มได้ ควรเริ่มเลย”
พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย
“การออกแบบ สสร.” เป็นเรื่องแรกที่ทุกคนทำได้ เพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญใหม่ ดังนั้น ถ้าเตรียมพร้อมได้ก่อน เมื่อไรที่บรรยากาศทางการเมืองเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง ความใฝ่ฝันของประชาชนก็จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในวันนี้จึงต้องชวนกันคิดต่อ หน้าตาของคนร่างรัฐธรรมนูญ ควรจะมีที่มา คุณสมบัติ อำนาจหน้าที่และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างไร เพื่อพาไปถึงเป้าหมายคือรัฐธรรมนูญที่เป็นของทุกคน
ข้อเสนอในการออกแบบ สสร. ที่ประชาชนต้องการ
จากการแบ่งกลุ่มระดมความเห็นคนหลากหลายภาคส่วน ทั้งรัฐ ประชาสังคม และนักวิชาการกว่า 40 คน เพื่อหาข้อเสนอในการออกแบบ สสร. ที่ประชาชนต้องการ มีข้อมูลน่าสนใจที่ 3 ตัวแทนสรุปออกมา ดังนี้
เริ่มต้นโดย “สมบูรณ์ คำแหง” ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนระดับชาติ (กป.อพช.) ที่ออกมาสะท้อนในประเด็น “บทบาทหน้าที่ของ สสร. และการมีส่วนร่วม” ว่าอาจมี 2 หน้าที่สำคัญใหญ่ ๆ คือ ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ และเป็นกระบวนกรรับฟังเสียงจากกลุ่มต่าง ๆ เพราะหากมีแต่นักกฎหมายทำหน้าที่ยกร่าง โดยไม่เปิดรับความเห็นใคร ๆ กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมจากล่างขึ้นบนจะไม่เกิด และไม่สามารถนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนได้
ทั้งนี้ เมื่อ สสร. รับฟัง รวบรวม และเรียบเรียงเสียงสะท้อนของประชาชน แปลไปเป็นภาษากฎหมายแล้ว ต้องจัดระเบียบข้อมูลให้สามารถย้อนกลับมาเพิ่มเติมรายละเอียด ทบทวนเนื้อหา และตรวจสอบการทำหน้าที่ของ สสร. ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิด “กระบวนการมีส่วนร่วมที่มีชีวิต”
อย่างไรก็ตาม “การสร้างการมีส่วนร่วม” ขึ้นอยู่กับการตั้ง “กติกาการเลือก สสร.” ด้วย เช่น การเลือก สสร. เชิงพื้นที่ กำหนดให้ส่งตัวแทน 1-2 คน โดยยกตัวอย่างว่า หากหนึ่งจังหวัดมีผู้ลงสมัครคัดเลือก 50 คน การทำให้ผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกยังมีพื้นที่ในการแสดงความเห็น คือ สิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนที่สมบูรณ์
“การเลือก สสร. ไม่เหมือนกับการเลือก สว. และ สส. ที่คนไม่ได้รับเลือกก็ต้องตกไป เพราะคนที่สมัครเข้ามาทั้งหมด เขามีความตั้งใจดี ดังนั้น จะเปิดพื้นที่อย่างไรให้การมีส่วนร่วมไม่ได้อยู่ที่สมาชิกของ สสร. เท่านั้น แต่จะอยู่กับผู้สมัครทั้งหมด”
สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนระดับชาติ
การออกแบบ สสร. สัมพันธ์กับการสร้างการมีส่วนร่วม “ศุภณัฐ บุญสด” นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า สรุปประเด็น “คุณสมบัติของ สสร.” จากความคิดเห็นของกลุ่มตัวเองว่า จะต้อง “มีอิสระชัดเจนในทางกฎหมาย” เพื่อให้สมาชิกพูดคุยได้ทุกเรื่อง โดยไม่ติดเงื่อนไขทางการเมือง เช่นเดียวกันกับผู้ที่จะแสดงความเห็นต่อ สสร. สามารถทำได้โดยไม่ต้องกลัว
ขณะเดียวกัน “สมาชิกต้องมาจากการเลือกตั้ง 100%” โดยไม่ปิดกั้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ขณะเดียวกันต้องจำกัดสิทธิ์คนที่เคยทำลายระบอบประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้กระทบกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย
สุดท้ายต้อง “จัดความสัมพันธ์ ระหว่าง สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน กับการร่างรัฐธรรมนูญโดยผู้เชี่ยวชาญ” สสร. ต้องมีบทนำว่าจะร่างรัฐธรรมนูญด้วยวิธีใด มีเนื้อหาอย่างไร ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญควรเป็นแค่ผู้ช่วยยกร่างรัฐธรรมนูญ
“ผู้เชี่ยวชาญไม่ควรมีโควตาใน สสร. ควรทำหน้าที่เพียงรับข้อมูลจาก สสร. แล้วใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองในการยกร่างบทบัญญัติขึ้นมา โดยที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจและกำหนดร่างรัฐธรรมนูญ”
ศุภณัฐ บุญสด นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้า
ส่วนที่มาของ สสร. เห็นสอดคล้องกันทุกคนว่า “ต้องยึดหลักการของความเป็นตัวแทน และหลักการประชาธิปไตย” คือมีความหลากหลาย โปร่งใส และมาการเลือกตั้งของประชาชน
โดย “ปพิชญานันท์ จารุอริยานนท์” คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในความหลากหลาย ต้องไม่เหมือนกับกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วม ที่ซับซ้อนเหมือนครั้งเลือกตั้ง สว. ที่ผ่านมา ซึ่งเข้าใจยาก และยิ่งทำให้เรื่องรัฐธรรมนูญไกลตัวจากคนไทย
“กระบวนการได้มาซึ่ง สสร. ต้องเรียบง่าย โดยอาจมาจากการเลือกตั้งแบบทั้งหมด เช่น การแบ่งเขต ภูมิภาค หรือจังหวัด เพื่อให้ตอบปัญหาในเชิงพื้นที่ หรือการเลือกตั้งแบบทางอ้อม เช่น แบบบัญชีรายชื่อ หรือกลุ่มอาชีพ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้รองรับความหลากหลายให้ได้มากที่สุด”
ปพิชญานันท์ จารุอริยานนท์ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทั้งนี้ อาจจัดการเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ เพื่อให้จัดการง่าย แต่ต้องพัฒนาประสิทธิภาพของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รวมถึงกระบวนการได้มาซึ่ง กกต.ด้วย เพื่อให้เกิดกระบวนการที่โปร่งใสมากที่สุด
ส่วนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อาจต้อง “เว้นวรรคทางการเมือง” เพื่อป้องกันการทุจริต ซึ่งต้องหารือเรื่องรายละเอียดต่อไป โดยอาจ “พัฒนาเทคโนโลยี” ให้เป็นเครื่องมือช่วยตรวจสอบประวัติทำงานและคดีต่าง ๆ ได้อย่างง่ายและเที่ยงตรง แต่ในกรณีที่พรรคการเมืองจะเสนอชื่อผู้สมัคร สสร. ทำได้เช่นกัน แต่ต้องเปิดเผย
นอกจากนี้ “กลไกการร้องเรียนผู้สมัคร สสร.” ควรเป็นระบบ “ร้องเรียนแล้วได้รางวัล” เพื่อส่งเสริมการประชาชนให้ตื่นตัว ช่วยกันจับตากระบวนการได้มาซึ่ง สสร.
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ 3 ตัวแทนจากภาคประชาชนสรุปออกมา อย่างไรก็ตามยังมีความเห็นอีกหลากหลาย ที่ถูกจัดระเบียบหรือรวบรวมไว้ที่แพลตฟอร์มออนไลน์ เรียกว่า “Dream Con” โดยมีข้อมูลที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ “หลักการการออกแบบ สสร.” ที่เสียงส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า จะต้องถูกจำกัดให้น้อยที่สุด เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้มากที่สุด
คุณสมบัติของ สสร. จึงไม่ควรกำหนด “อายุ” เพราะเยาวชน หรือผู้เกษียณอายุ ก็เป็นเสียงสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไม่แพ้กลุ่มอื่น และ “การศึกษาขั้นต่ำ” ที่ต้องมีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าถ้ามีความเชี่ยวชาญในประสบการณ์ทำงานด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อเป็นตัวแทนให้กับกลุ่มความหลากหลายต่าง ๆ จะตอบโจทย์สังคมมากกว่า
รวมถึงประเด็น สสร. จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน 100% สสร. จะต้องมีการหาเสียงและเปิดเผยจุดยืนตั้งแต่ต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกได้ และเมื่อได้รับเลือกแล้ว นอกจากจะทำหน้าที่เป็นกระบวนการรับฟังความเห็น ต้องเปิดพื้นที่ให้เข้าถึงทุกคนมากที่สุด โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา และต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชนด้วย
สุดท้ายนี้ยังมีอีกความเห็นชวนให้ถกกันต่อว่า เมื่อ สสร. ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ควรจะเป็นตำแหน่งเต็มเวลา มีอำนาจพิจารณาว่าการกระทำหรือกฎหมายใด ๆ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และมีอำนาจป้องกันไม่ให้รัฐธรรมนูญถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงโดยไม่ถูกต้อง
3 ความท้าทายของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของสังคมไทยในวันนี้ “ณัชปกร นามเมือง” เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ เล่าให้ฟังว่ามี 3 อุปสรรคที่ขัดขวางอยู่ เรื่องแรกคือ “การเมือง” ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 2 รูปแบบ แบบแรกเป็น “ลายลักษณ์อักษร” และแบบสองเป็น “วัฒนธรรม” ซึ่งทั้งสองฉบับนี้บางครั้งทำงานขัดแย้งกัน โดยคนรุ่นใหม่เรียกว่า “ประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต” ใบหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง และใบที่สองต้องรอชนนั้นนำตัดสินใจ เช่น การหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เรื่องที่สองคือ “รัฐราชการรวมศูนย์” และสุดท้ายคือ “โจทย์เศรษฐกิจ–สังคม” เศรษฐกิจเติบโตช้าและมีความเหลื่อมล้ำสูง แถมปัญหาสังคมยังมีมากมาย อาทิ ความเท่าเทียมทางเพศ การศึกษา และภาวะโลกร้อน
“คนร่างรัฐธรรมนูญ ที่เป็นแค่นักกฎหมาย หรือนักรัฐศาสตร์ ไม่พอแล้ว เพราะโจทย์ของประเทศวันนี้กว้างมาก จำเป็นต้องหาตัวแทน หรือ สสร. ที่มีความหลากหลายเข้ามาทำหน้าที่”
ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ
การออกแบบ “สสร.” ให้มีความหลากหลาย “ณัชปกร” วิเคราะห์ความคิดตัวเองและความเห็นของผู้เข้าร่วมการสนทนาสาธารณะกว่า 40 คน สรุปคุณสมบัติที่ สสร. ควรมี ออกมาเป็น “หลักคิด 4D” ได้แก่
- Democracy – ความเป็นประชาธิปไตย
- Diversity – ความหลากหลาย
- Deliberate – มีอำนาจในการตัดสินใจร่วม และแสดงความเห็นในการตั้งกติกาสังคม
- Deliver – นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญปี 40 ใช้ในปัจจุบันไม่ได้แล้ว
แม้รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ชื่อว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” เพราะมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง และมีเนื้อหาที่ยึดโยงประชาชน แต่ในมุมมองของ “พงศ์เทพ เทพกาญจนา” อดีต สสร. ปี 2540 และคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ กลับพบว่า คงไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้ เพราะบริบทต่างกัน
โดยเล่าย้อนให้ฟังว่า ในสมัยนั้นความคิดเรื่องประชาธิปไตยยังไม่ก้าวหน้าเท่าปัจจุบัน การได้มาของ สสร. เกิดขึ้นมาจากการให้เลือกกันเองของ ผู้สมัครวุฒิการศึกษาปริญญาตรี และผู้เชี่ยวชาญ จากสภามหาวิทยาลัย แล้วให้สมาชิกรัฐสภา สส. และ สว. เลือก จนได้สมาชิก สสร. ครบ 99 คน โดยมีอำนาจและบทบาทหน้าที่ที่ทัดเทียมกันคือยกร่างรัฐธรรมนูญ และมีประธานสภา มาจากผู้เชี่ยวชาญคือ “อุทัย พิมพ์ใจชน” และมีประธานกรรมาธิการยกร่าง มาจากผู้เชี่ยวชาญคือ “อานันท์ ปันยารชุน”
จะเห็นว่าสุดท้ายกระบวนการได้มาของ สสร. ถูกสมาชิกวุฒิสภาเลือกทั้งหมด หากในปัจจุบันนำมาใช้ มีข้อน่าห่วงคือ เมื่อคนเห็นความสำคัญของรัฐธรรมนูญ แล้วต้องการบิดเบือน จะเป็นโอกาสให้เกิด “คนมีสังกัด” หรือ “คนมีสี”
“สสร.ควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว เพียงแต่จะเลือกแบบไหนเท่านั้นเอง”
พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต สสร.และคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ
“พงศ์เทพ” ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า วิธีการเลือก สสร. มีหลากหลายรูปแบบมาก แล้วแต่จะออกแบบกัน ตามความเหมาะสม ซึ่งต้องรับฟังความเห็นของประชาชน แต่ไม่อยากให้การ “เลือก สสร.ยึดโยงตามจังหวัด” เพราะจะเจอปัญหาที่แต่ละจังหวัดมีคนมากน้อยไม่เท่ากัน แต่เลือกตัวแทนได้เพียง 1 คน เช่น กรุงเทพมหานครมีสิบล้านคน ขณะที่สมุทรสงครามมีหลักแสนคน ตัวแทนที่ได้มาจึงดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล
ส่วนจำนวน สสร. เมื่อก่อนที่มี 99 คน นับว่าเหมาะสม เพราะมีเวลาเพียง 240 วัน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งแตกต่างจากฉบับอื่น ๆ ที่มีมา โดยเฉพาะการจัดทำเนื้อหา ซึ่งได้มาจากการลงพื้นที่เปิดเวทีฟังเสียงของประชาชนทั่วประเทศ 2 รอบ โดยรอบแรกเป็นการถามถึงความต้องของประชาชน และรอบสองคือรับฟังความเห็นของประชาชนต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งรวบรวมคนในแต่ละเวทีได้ประมาณ 200 คน
แต่ในยุคดิจิทัลนี้ เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถดึงให้คนจำนวนมากหลากหลายกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น ดังนั้นเรื่อง “จำนวนของ สสร.” และ “การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย” เป็นอีกเรื่องต้องชวนกันคิดต่อ แต่วันนี้ทุกคนสามารถคิดโจทย์ ทางออก และข้อเสนอสู่รัฐธรรมนูญในฝัน เตรียมพร้อมส่งต่อให้ สสร.ชุดใหม่ได้เลย
เร่งแก้มาตรา 256 ผลักดันให้มี สสร. ทันในรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง”
“สถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่ น่ากลัวว่าจะไม่มี สสร.ชุดใหม่ ได้ทันในสมัยรัฐบาลแพทองธาร แต่รัฐธรรมนูญของประชาชนจะเกิดขึ้นได้ต้องมี สสร. สิ่งที่ต้องคิดกันต่อคือทำอย่างไรก็ได้ให้มี สสร.ได้เร็วที่สุด เพราะถ้ารอรัฐบาลชุดหน้า ก็ไม่รู้อีกว่าเขาจะยังให้ความสนใจเรื่อง สสร.ไหม”
นิกร จำนง เลขานุการ และ กมธ.ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
ที่ผ่านมากระแสการเมืองถกเถียงแต่เรื่อง “ประชามติแบบหนึ่งชั้นหรือสองชั้น” แต่ไม่ได้ให้ความสนใจการผลักดันให้ “แก้ไขรัฐธรรรมนูญ มาตรา 256” มากนัก เพื่อเปิดทางให้ตั้ง สสร.ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้เสียเวลาเป็นปีและการแก้ไขรัฐธรรมนูญยิ่งห่างไกลขึ้น
ในช่วงที่รัฐบาล “แพทองธาร” ยังมีความตั้งใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ (Political Will) “นิกร” มองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา จะผ่านและเสร็จได้เร็วกว่า รอให้แก้ไขทั้งฉบับ เพราะถ้าเดินตามแผนของรัฐบาล ที่เคยประกาศไว้ว่าจะต้องทำประชามติ 3 ครั้ง และจะไม่ทำครั้งแรกจนกว่าจะแก้ไข ร่าง พรบ.ประชามติฯ เสร็จ
ตอนนี้เสียเวลาไปปีหนึ่งแล้ว และสภาสูง-สภาล่างยังมีความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งมีแนวโน้มว่าร่างกฎหมายนี้คงถูกชะลอไว้อีก 180 วัน กว่าจะยกร่างใหม่ อย่างเร็วสุดก็ปี 2568 หรือต้นปี 2569 แล้วรอทำประชามติอีก 3 ครั้ง พิจารณาตามระยะเวลา อย่างไรก็เสร็จไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้
การแก้มาตรา 256 สำเร็จ นอกจากจะเป็นผลงานรัฐบาลแล้ว สสร.ที่เกิดขึ้น จะผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริงต่อไป แต่หากไม่รีบทำในเวลานี้ โอกาสที่จะมี สสร.และรัฐธรรมนูญของประชาชนในสมัยรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง อาจจะไม่เกิดขึ้นตามที่หวัง
สสร.จากการเลือกตั้ง 100% ทำได้ มีหลายโมเดลที่เลือกได้
สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% แม้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่าง ชิลี และ ไอซ์แลนด์ เคยทำกันมาแล้ว
“จริงอยู่ที่ปี 2540 สสร. ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง 100% แต่ต่อมาได้ระบุการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเรื่อง ‘สสร.’ ซึ่งผ่านวาระ 1 และ 2 ของสภาฯ ที่มีสมาชิก สว. 250 คน และ สส.ชุดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 500 คน เห็นชอบมาแล้ว เพียงแต่วาระ 3 มีสมาชิกสภาบางส่วนที่ลงคะแนนไม่เห็นชอบ เพราะกังวลคำวินิจฉัยรัฐธรรมนูญ 4/2564 ที่ร่างกฎหมายนี้ต้องผ่านประชามติ 3 ครั้งถึงจะสามารถบรรจุระเบียบวาระ ให้แก้ไขได้”
พริษฐ์ วัชรสินธุ กมธ.ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
“สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง 100%” เป็นหลักการที่เรียบง่าย และเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็น ทั้งตัวอย่างจากต่างประเทศ และการตกผลึกร่วมกันในรัฐสภาเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ในประเทศไทย แต่คนในสังคมอาจไม่เห็นด้วยทั้งหมด โดยมักมีข้อโต้แย้งว่า ถ้า สสร.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด แล้วผู้เชี่ยวชาญ หรือกลุ่มตัวแทนความหลากหลายต่าง ๆ จะตกหล่น
“พริษฐ์” มองว่า ข้อกังวลใจนี้แก้ได้ โดยไม่ต้องหันออกจาก “หลักการเลือกตั้ง 100%” พร้อมเสนอ 3 ทางออกที่สามารถทำได้ เพียงแต่คนในสังคมจะต้องช่วยกันคิดต่อว่าวิธีไหนจะดีที่สุด
- เปิดพื้นที่ให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้ามามีส่วนร่วม โดยไม่จำเป็นต้องเป็น สสร.
- ออกแบบระบบเลือกตั้งให้ตัวแทนกลุ่มความหลากหลายทางสังคมต่าง ๆ มีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น ใช้ระบบเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ โดยให้ตั้งทีมแล้วเปิดรับสมัครแข่งขัน แบ่งออกมาเป็น 2-3 บัตร บัตรแรกอาจให้กลุ่มนักวิชาการสมัคร และให้ประชาชนเป็นคนเลือก บัตรที่สองอาจเป็นกลุ่มความหลากหลาย เปิดให้ผู้พิการ เยาวชน ผู้มีความหลากหลายทางเพศสมัคร แล้วให้ประชาชนเป็นคนเลือกเช่นเดียวกัน
- เลือกตั้งทางอ้อม คือให้สังคมเลือก สสร.เข้าไปทำงาน จากนั้นให้ สสร.เลือกต่อว่าจะชวนใครเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่ม โดยอาจตั้งกติกาตั้งแต่แรกให้ สสร.เสนอชื่อคนที่จะชวนเข้ามาช่วย
“อย่าบีบให้สังคมต้องเลือก ระหว่าง สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% กับ สสร.ที่มีตัวแทนผู้เชี่ยวชาญ และกลุ่มความหลากหลายทางสังคม เรื่องนี้แก้ได้ โดยไม่ต้องหันออกจากหลักการเลือกตั้ง 100% ระบบการเลือก สสร.มีหลากหลายมาก คำนวณออกมาได้เป็นร้อย เป็นพัน เพียงแต่สังคมจะให้ความสำคัญกับอะไร แล้วเลือกให้ตรงโจทย์”
พริษฐ์ วัชรสินธุ กมธ.ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
ต่อจากนี้เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องร่วมกันอธิบาย และสื่อสารให้เข้าใจว่า “สสร.” สำคัญและสามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน 100% ได้ เพราะยิ่งทุกคนส่งเสียงดัง และมีฉันทามตินอกสภาดีแค่ไหน จะยิ่งส่งผลต่อจากลงมติของสมาชิกรัฐสภา ที่จะเป็นคนตัดสินใจสุดท้ายว่า สสร.ควรจะหน้าตาเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ “พริษฐ์” ยังชวนให้คิดต่อว่า เมื่อสังคมอยากให้ สสร.มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญแล้ว จะให้จัดทำพระราชบัญญัติด้วยหรือไม่ และในการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของ สสร. ควรนำเทคโนโลยีมาใช้ไหม เพราะจะเป็นเครื่องมือช่วยให้ สสร.ที่ไม่แนใจว่าจะยกร่างรัฐธรรมนูญอย่างไร สามารถหยั่งเสียงของประชาชนได้
สร้างฉันทามติร่วม เดินหน้าสู่ รธน.ใหม่ที่ยืดหยุ่น–ยั่งยืน
“ทุกคนเป็น สสร.ได้ อย่าคิดว่าต้องรอกระบวนการจากรัฐสภาอย่างเดียว เพื่อแก้กฎหมายให้มี สสร. นำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้ารอก็ไม่รู้จะถึงเมื่อไร หากทำเดี๋ยวนี้ แล้วบรรยากาศทางการเมืองมาสอดรับพอดี เราอาจมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้”
รศ.วรรณภา ติระสังขะ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน โดย “รศ.วรรณภา” อธิบายว่า รัฐธรรมนูญไม่เพียงออกแบบการเมืองอย่างเดียว ยังออกแบบโครงสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ทำให้เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ การผูกขาด ให้สลายหายไป รวมถึงการออกแบบรัฐธรรมนูญให้กระบวนการวัฒนธรรมประชาธิปไตยเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
ถ้าออกแบบรัฐธรรมนูญที่ดีได้ ชีวิตความเป็นอยู่เราจะดีขึ้น โดยรัฐธรรมนูญที่ดีต้องมาจาก “ฉันทามติของสังคม” และ “มีความยืดหยุ่น ยั่งยืน” คือเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวิถีชีวิตของเขาได้ โดยฉันทามติของสังคมจะเกิดขึ้นได้ต้องมี 4 คำ
- Dialogue เมื่อทุกคนไม่สามารถคิดได้เหมือนกัน เช่น สสร.ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% จึงต้อง “มีพื้นที่สาธารณะ” ให้พูดคุยและทำความเข้าใจร่วมกัน
- Truth พูดความจริงทั้งปัญหาและความสำเร็จ
- Inclusive รวมเสียงทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเสียงส่วนใหญ่ หรือเสียงส่วนน้อย
- Empathy มีความเข้าอกเข้าใจ ลดความขัดแย้ง
“4 คำนี้ จะทำให้เกิดโมเมนตัมของสังคม พาไปสู่กระบวนการพูดคุยเรื่องรัฐธรรมนูญที่กว้างมากขึ้น แล้วกลายเป็นฉันทามติของสังคม ที่จะทำให้เกิดการออกแบบตัวเนื้อหาหรือกระบวนการของ สสร.ได้ตอบโจทย์มากขึ้น”
อรุชิตา อุตมะโภคิน ผู้จัดการกลุ่ม กลุ่มงานด้านนวัตกรรมการสื่อสาร ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส
อุปสรรคที่ขวางทางรัฐธรรมนูญใหม่
รัฐธรรมนูญที่ประชาชนต้องการ มี 3 เป้าหมายหลักที่ “พริษฐ์” มองว่าจะละเว้นเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งไม่ได้ โดยสิ่งแรกคือ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เร็วที่สุด สองคือต้องการกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย “เลือกตั้ง 100%” และสุดท้ายคือต้องการให้รัฐธรรมนูญมีเนื้อหาที่สะท้อนฉันทามติของสังคมและสามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองได้
“3 เป้าหมายนี้ต้องไปด้วยกัน เพราะถ้าเอาแต่ความเร็ว แต่ถูกร่างโดยกระบวนการที่ไม่ชอบธรรม และไม่ได้แก้โจทย์ทางการเมือง เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่าประสบความสำเร็จ”
พริษฐ์ วัชรสินธุ กมธ.ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
“ความเร็ว” ปฏิเสธไม่ได้ว่าขึ้นอยู่กับ “ร่างแก้ พ.ร.บ.ประชามติฯ” ที่ต้องการลดจำนวนประชามติจาก 3 ครั้ง ลงเหลือ 2 ครั้ง ซึ่ง “พริษฐ์” มองว่าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ความพยายามของพรรคฝ่ายค้านและพรรคแกนนำรัฐบาลที่จะยื่นร่างเกี่ยวกับ “สสร.” ให้ถูกบรรจุในระเบียบวาระ และสามารถจัดตั้งได้จริงในสมัยรัฐบาลนี้
ส่วน “กระบวนการชอบธรรม” อยู่ที่การตีความและเลือกวิธีการที่ตอบโจทย์สังคม แต่ย้ำว่าต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง 100% และ “เนื้อหา” ไม่จำเป็นต้องรอให้มี สสร. ทุกคนสามารถพูดคุยกันได้เลย ยิ่งถกเถียงเรื่องเนื้อหามากเท่าไร ฝ่ายการเมืองจะเห็นความสำคัญและขยับเรื่องรัฐธรรมนูญได้เร็วขึ้น
“การพูดคุยเรื่องรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นเชิงกระบวนการหรือเนื้อหา ถ้าพูดขึ้นมาแล้ว มีเสียง มีน้ำหนักที่มากพอ จะเป็นโจทย์ให้ฝ่ายการเมืองคิดและออกแบบกันต่อ เพื่อตอบโจทย์สิ่งที่ประชาชนทำอยู่”
อรุชิตา อุตมะโภคิน ผู้จัดการกลุ่ม กลุ่มงานด้านนวัตกรรมการสื่อสาร ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส
รัฐธรรมนูญใหม่ต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ในวันนี้ถ้าไม่เริ่มต้นทำอะไรเลยก็เท่าทุน แต่ถ้าทำก็อาจมีลุ้น โดยเฉพาะการเสนอลดจำนวนประชามติให้เหลือ 2 ครั้ง และถ้าทั้งสามประตูคือ ประธานสภา นายกรัฐมนตรี และประธานศาลรัฐธรรมนูญเห็นตรงกันในเร็ว ๆ นี้ ในปี 2568 อาจเป็นปีของความหวังมากกว่าความหดหู่
อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งที่คิดอาจไม่เกิดขึ้นจริงในรัฐบาลนี้ “ณัชปกร” ให้กำลังใจทิ้งท้ายว่า อย่าเพิ่งหยุดฝัน หมดหวัง ค่อย ๆ สร้างคนที่มีมุมมองทางการเมืองเดียวกันกับประชาชนไปเรื่อย ๆ อย่างเลวร้าย 4 ปีนี้ อาจไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่เราก็แค่ไม่เลือก สุดท้ายอำนาจจะกลับมาที่ประชาชน แล้วออกไปใช้คูหาเป็นสนามพลัง สู้กันต่อไป ให้เรามีรัฐธรรมนูญที่ดี
“อย่าเอาประชาชนมาเป็นพิธีกรรม ให้ได้แก้รัฐธรรมนูญ ประชาชนคงไม่อยากเห็น สสร. แบบลูบหน้าปะจมูก ถ้าความฝันจะไม่สำเร็จ ขอให้เป็นไปไม่ได้ ด้วยสิ่งที่เสนอนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ประตูปิดตั้งแต่ต้น ทุกคนอยากเห็นประตูการเมืองเปิดรองรับความฝันนี้”
ณัชปกร นามเมือง เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ
นอกเหนือจาก รัฐธรรมนูญไม่ควรจะถูกเอามาเป็นเกมการเมืองแล้ว ในฐานะของคนธรรมดาที่เห็นตลอดทั้งกระบวนการ “รศ.วรรณภา” มองว่าอีก 2 เรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย หนึ่งคือ “พลังของสื่อหรือพื้นที่สาธารณะ” ที่สามารถขับเคลื่อนกระบวนการรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นทางการได้ และอีกเรื่องคือต้อง “ยึดมั่นกับหนทางที่ให้ประชาชนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง” ได้
เมื่อรัฐบาลปัจจุบันมีความชัดเจนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ภารกิจร่วมของทุกคนต่อจากนี้จึงต้องเร่งสร้างฉันทามติร่วมของสังคมใน “การออกแบบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ” เปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดคุยและถกเถียงถึง “สสร.” ในฝัน เพราะยิ่งเสียงของประชาชนดังขึ้น หนทางสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะยิ่งก้าวหน้าสู่ความเป็นจริงได้เร็ว และสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้กับประเทศในทุกมิติ
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง :
- ก้าวแรกร่วมออกแบบ สสร. สู่ “ร่างรัฐธรรมนูญ” ของประชาชน
- เปิดกลไกให้นโยบายดี ๆ ได้ไปต่อ แม้การเมืองเปลี่ยน