เป็นเวลาราว 3 เดือน ที่ไทยต่อรองขอลดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐอเมริกา จาก 36% จนเหลือที่ 19% โดยมีการเสนอยกเว้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ จำนวนหลายหมื่นรายการ หรือเปิดตลาดเสรีประมาณ 90% พร้อมกับสัญญาจะลดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ให้ได้ถึง 70% ภายใน 5 ปี
ส่งผลดี-ผลเสียภาคเกษตร
ปัจจุบันรายงานผลกระทบต่อไทยยังไม่มีรายละเอียดมาก เพราะทั้งรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดสำคัญของสินค้าที่ลดภาษี และข้อตกลงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ด้านการค้า รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร”
แต่จากการประเมินผลเสียและผลดีเบื้องต้น สรุปได้ดังนี้
สินค้าเกษตรและอาหารที่ส่งออกไปสหรัฐฯ
ข้าวหอมมะลิไทยปัจจุบันส่งออกไปสหรัฐฯ จำนวนกว่า 60,000 ตันต่อเดือน แต่ยังคงเสียเปรียบคู่แข่งเวียดนาม เพราะข้าวหอมมะลิไทยมีราคาสูงกว่าที่ 900-12,000 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ 600-700 ดอลลาร์ อีกทั้งภาษีนำเข้าต่างกันเพียง 1% จึงทำให้ราคาข้าวของเวียดนามยังคงได้เปรียบกว่าไทย
กุ้งและทูน่า จะส่งผลกระทบบริษัทเอกชนไทยรายใหญ่ มีข้อมูลพบว่าพึ่งพาตลาดหลักในสหรัฐฯ มากถึง 39% ของรายได้ทั้งบริษัท
ผลิตภัณฑ์ยาง ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ 31.6% มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ 4.7 ของการส่งออกยางทั้งหมดของไทย แต่หากเทียบเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ไทยยังคงไม่เสียเปรียบมากนัก เพราะถูกเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 19% เท่ากัน แต่อย่างไรก็ตามยางของมาเลเซียยังคงมีคุณภาพที่ดีกว่ายางของไทย
สินค้าที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ
ข้าวโพดและกากถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ที่จะได้รับการยกเว้นภาษีเหลือ 0% จะส่งผลดีต่อไทย เพราะปัจจุบันไทยนำเข้าข้าวโพดปีละ 3.4 – 4 ล้านตัน ซึ่งสามารถทดแทนจากแหล่งในเมียนมาและลาวได้ และไทยยังนำเข้ากากถั่วเหลืองปีละ 3.5 ล้านตัน แม้กากถั่วเหลืองสหรัฐฯ จะมีคุณภาพต่ำกว่าบราซิล แต่ราคาจะถูกกว่า เนื่องจากอัตราภาษี 0% (บราซิลเสียภาษี 2%)
การเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่ หมู และวัว จะมีต้นทุนถูกลง จากวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ลดลง (ข้าวโพดและกากถั่วเหลือง) ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อเนื้อสัตว์และอาหารได้ในราคาถูก รวมถึงอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์มีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น และส่งออกได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งมลพิษจากการเผาข้าวโพดจะลดลง ส่งเสริมสุขภาพที่ดี และยิ่งส่งผลดีต่อการส่งออก
แต่ส่งผลเสียต่อชาวไร่ข้าวโพดและพ่อค้า เพราะการนำเข้าข้าวโพดราคาถูกจำนวนมากจากสหรัฐฯ จะทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำ และการผลิตจะลดลง ซึ่งจะส่งผลกนะทบต่อชาวไร่ข้าวโพดบ้างส่วนจนต้องเปลี่ยนอาชีพ โดยเฉพาะบนภูเขาในภาคเหนือ เพราะมีต้นสูง วิธีแก้ไขระยะสั้น คือ มาตรการชดเชยส่วนต่างราคา ซึ่งอาจใช้เงินจำนวนไม่มาก ขึ้นอยู่กับส่วนต่างระหว่างราคาข้าวโพดในไทย และราคาที่นำเข้าจากสหรัฐฯ
เนื้อหมู จากข้อตกลงทางภาษี ไทยต้องนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ประมาณ 10,000 ตัน ภายใต้เงื่อนไขต้องไม่มีสารเร่งเนื้อแดง ในเบื้องต้นคาดว่าจะไม่มีข้อตกลงนำเข้าเครื่องในหมูราคาถูก เพราะข้อกังวลสารเร่งเนื้อแดง แต่ถ้าหากมีการนำเข้าจะกระทบผู้เลี้ยงหมูโดยตรงจำนวนมาก จนอาจต้องเลิกกิจการ
นอกจากนี้ไทยคงไม่ยอมให้มีการนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง เพราะที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถควบคุมไม่ให้เกษตรกรใช้สารเร่งเนื้อแดงในฟาร์มหมูได้ ซึ่งถ้ายอมให้นำเข้าหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง อาจเสี่ยงเกิดการลักลอบนำเข้ามาจำนวนมาก และจะกระทบผู้เลี้ยงหมูในประเทศ
ผลไม้เมืองหนาวและถั่ว ผู้บริโภคไทยจะได้ประโยชน์จากสินค้านำเข้าที่มีคุณภาพของสหรัฐฯ และแข่งขันกับผลไม้จากจีน ออสเตรเลีย ที่ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับไทย เช่น แอปเปิล สาลี่ เชอรี่ องุ่น ถั่วต่าง ๆ รวมถึง มันฝรั่ง ชีสสด เป็นต้น ซึ่งเกษตรกรผลไม้ในสหรัฐฯ ประเมินว่าถ้าอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 0% ไทยอาจนำเข้าผลไม้จากสหรัฐฯ ปีละ 25 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 800 ล้านบาท)
ปรับโครงสร้างภาคเกษตร
ไทยต้องตั้งเป้าหมายเพิ่มผลิตภาพการผลิตและความสามารถในการแข่งขัน ลดจำนวนแรงงานในภาคเกษตรที่มีสัดส่วน 25-30% ของแรงงานทั้งประเทศ ให้เหลือสัดส่วน 8% โดยให้ย้ายไปทำงานนอกภาคเกษตร เนื่องจากเกษตรกรรายเล็กไม่สามารถร่ำรวยจากอาชีพเกษตรเหมือนกับทั่วโลก
ขณะเดียวกันต้องต้องสร้างงานในประเทศเหมือนในยุโรปเพื่อรองรับแรงงานภาคเกษตร ผ่านการลงทุนของเอกชนในต่างจังหวัด โดยรัฐบาลต้องปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษีศุลกากรและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อนักลงทุนต่างชาติ ควบคู่ไปกับพัฒนาทักษะแรงงานคนทั้ง Re-skill และ Up-skill โดยอาศัยระบบการฝึกอบรมของภาคเอกชนและการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐเหมือนกับที่สิงคโปร์ทำ
ทั้งนี้การสร้างสถาบันหรือกลไกลการบริหารจัดการแบบใหม่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับไทย ซึ่งไม่ควรให้รัฐบาลและข้าราชการเป็นคนคิดเพียงลำพัง แต่ต้องร่วมมือกับภาคเอกชน ประชาสังคม และนักวิชาการ
ทางรอดจากทรัมป์
รศ.ดร.นิพนธ์ เสนอว่า รัฐบาลไทยต้องดำเนินนโยบายการนำเข้าสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความพอใจให้กับโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มจาก เร่งจัดการปัญหาการขนส่งแบบถ่ายลำ (Transshioment) หรือเป็นทางผ่านสินค้าจากจีนโดยด่วน ซึ่งในปี 2567 พบว่าสินค้าที่นำเข้าจากจีน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าอยู่ที่ 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ 1.3 แสนล้านบาท สอดคล้องกับสินค้าส่งออกชนิดเดียวกันที่ส่งไปสหรัฐฯ ในปี 2567 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่ 80,000 ล้านบาท
เร่งประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม รวมทั้งแก้ปัญหามาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีทั้ง NTBs และ TBTs ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อผู้ส่งออกสินค้าของสหรัฐฯ โดยผสานงานร่วมกับหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (The American Chamber of Commerce: AMCHAM)
มีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Dr. Richard Yarrow เสนอให้รัฐบาลไทยส่งข้าราชการและนักเรียนไทยไปเรียนที่สหรัฐฯ เพื่อให้ช่วยลดดุลการค้าภายใน 5 ปี ตามที่ตกลงกับสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสร้างทุนมนุษย์และไทยจะได้ประโยชน์ระยะยาว จากข้อมูลพบว่าจำนวนข้าราชการที่ได้รับทุนไปเรียนในสหรัฐฯ ลดลง 43% ระหว่างปี 57-67 และจำนวนทุนปริญญาตรีของรัฐบาลลดลง 50 ทุนต่อปี เหลือเพียง 30-35 ทุนต่อปี ในช่วงปี 57-58 ซึ่งเป็นสาเหตุที่รัฐบาลสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน จัดทุนให้ประชาชนไปเรียนที่สหรัฐฯ เพราะเป็นศูนย์กลางความก้าวหน้าทางวิทยาการหลายสาขา โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี AI
นอกจากนี้ไทยต้องส่งเสริมและลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อนักลงทุนต่างชาติ เช่น พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจและตนต่างด้าว พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติการทำงานจองคนค่างด้าว พ.ศ. 2551 เป็นต้น โดยมีเป้าหมายให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง และภาคบริการ (การเงิน) จากสหรัฐฯและไต้หวัน สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศโดยตรง ไม่ต้องผ่านบริษัทในสิงคโปร์
การรับมือระยะสั้น-กลาง
สำหรับการปรับตัวรับมือกับผลกระทบในระยะสั้นและระยะกลาง รัฐบาลต้องเร่งเปิดเผยข้อมูล และรายละเอียดของข้อตกลงกับสหรัฐฯ โดยเร็วที่สุด เพื่อให้นักวิชาการและภาคเอกชนสามารถประเมินผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม และสามารถวางแผนปรับตัวได้ทันเวลา
พร้อมทั้งเร่งระดมสมองฝ่ายต่าง ๆ เพื่อกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และแนวทางในการดำเนินงานทั้งด้านการปรับตัวและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น การหาตลาดใหม่ การปรับปรุงหัวโซ่การผลิต (Supply chain) การพัฒนาเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศ
สร้างสถาบันและกลไกการขับเคลื่อนใหม่ที่เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน เกษตรกร วิชาการ และประชาสังคม แทนการขับเคลื่อนโดยหน่วยงานรัฐเพียงลำพัง
การตั้งกองทุนปรับโครงสร้างก็เป็นเรื่องที่สำคัญ จำเป็นต้องหาวิธีการหรือรูปแบบการจัดการใหม่ที่ใช้ตลาดและภาคเอกชนเป็นตัวนำ เพราะที่ผ่านมาในอดีตไทยมีการตั้งกองทุนภาคเกษตรจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลว
4 คลื่นกระทบไทย
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยคนล่าสุด เตือนว่า ไทยอย่านิ่งนอนใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ หากไทยทำอะไรไม่ถูกใจ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็สามารถเปลี่ยนใจได้เสมอ “ผมคิดว่า So Far So Good ได้ 19% ถือว่าดี แต่อย่าไปยึดติดกับมันมากนัก”
ผลกระทบจะเกิดขึ้นในระยะยาว และการจัดระเบียบใหม่จะมีผลต่อเนื่องที่หลากหลายเหมือนกับคลื่นสึนามิ โดยไทยเพิ่งจบคลื่นลูกแรก คือ ตลาดทุน ที่ล่าสุดกลับมาฟื้นตัวแล้ว และคลื่นลูกที่สองกำลังจะเกิดขึ้น เป็นการปรับตัวของภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิต ที่จะทยอยส่งผลในภาคต่าง ๆ เช่น ธุรกิจ SME หลังจากนั้นคลื่นที่สาม คือ การย้ายฐานผลิต ซึ่งไทยยังคงได้เปรียบกว่าในหลายประเทศจากภาษีต่ำ 19% และคลื่นลูกที่สี่ การลดใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ (De-Dollarization) เป็นสกุลเงินสำรอง เพราะขณะนี้หลายประเทศหมดความมั่นใจในสหรัฐฯ สะท้อนได้จากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และในอนาคตอาจจะมีการหาสินทรัพย์หรือสกุลเงินอื่นมาเป็นเงินสำรองแทนเงินดอลลาร์
แล้วไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร?
นโยบายที่รัฐควรทำ คือ ประคองเศรษฐกิจไว้ให้ได้ เพราะมีความเสี่ยงที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงมากกว่าเดิม ซึ่งเชื่อว่าการใช้เครื่องมือทางภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ จะยังไม่จบเท่านั้น รัฐบาลไทยต้องรักษา Momentum ของตนเอง (การเติบโตเศรษฐกิจ) ไปพร้อมกับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงดูแลผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก (SME) ปล่อยสินเชื่อให้เข้าถึงง่ายผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.). นอกจากนี้เสนอให้รัฐบาลทำโครงการจัดซื้อจัดจ้างสนับสนุนสินค้าและบริการ SME เพื่อชดเชยสินค้าเฉพาะไทยที่ส่งไปขายสหรัฐฯ ได้ยาก
หลังจากประคองตัวได้ ให้เริ่มวางรากฐานไปสู่อนาคต เช่น แก้กฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคในประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้น เร่งสร้างอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจใหม่ ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ในระยะยาว ด้วยการหาตลาดส่งออกสินค้าใหม่ อย่าง อินเดีย ประเทศภาคตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งมั่นใจว่าไทยสามารถทำได้ภายใน 3-4 ปี ข้างหน้า
เมื่อโลกเข้าสู่ระเบียบใหม่ (New World order) ไทยจะต้องหาทางวางตัวในตำแหน่งที่เหมาะสมท่ามกลางระหว่างจีนกับสหรัฐฯ พร้อมกับสร้างตลาดการค้าใหม่ในภูมิภาคเอเชีย
อ่านเนื้อหาอื่นเพิ่มเติม
สหรัฐฯเก็บภาษีไทย 19% สงครามการค้ายังไม่จบ
จับตา “Twin Influx” สินค้าสหรัฐฯตามจีน “ทุบตลาดไทย”
ไทยเจอภาษีสหรัฐฯ 36% เสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยใน 1 ปี