ภายใต้แนวโน้มดังกล่าว บทความนี้พาผู้อ่านสำรวจรายงานการประเมินคุณภาพและระดับความเป็นประชาธิปไตยทั่วโลก 3 ชิ้นที่เผยแพร่ในปี 2025 และชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนบนมาตรวัดประชาธิปไตยโลก เพื่อทำความเข้าใจว่าโลกประเมินประชาธิปไตยไทยอย่างไรในบริบทที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
Democracy Index 2024
รายงาน Democracy Index 2024 จัดทำโดย Economist Intelligence Unit เพื่อวัดคุณภาพประชาธิปไตยทั่วโลก โดยประเมินใน 5 มิติ ได้แก่ กระบวนการเลือกตั้งและพหุนิยม การทำหน้าที่ของรัฐบาล การมีส่วนร่วมทางการเมือง วัฒนธรรมการเมือง และเสรีภาพพลเมือง โดยแบ่งประเทศออกเป็น 4 รูปแบบของระบอบการเมือง ได้แก่ ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ (Full Democracies) ประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง (Flawed Democracies) ระบอบผสม (Hybrid Regimes) และระบอบเผด็จการ (Authoritarian Regimes)
สำหรับปี 2024 มีการศึกษาใน 165 ประเทศและ 2 ดินแดน โดยใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ เช่น อัตราการใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวนพรรคการเมือง และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ร่วมกับข้อมูลเชิงคุณภาพจากนักวิเคราะห์ของ EIU รวมถึงการสำรวจความคิดเห็นเพื่อประเมินความไว้วางใจ ความพึงพอใจ และทัศนคติต่อประชาธิปไตยของประชาชนในแต่ละประเทศ[1]
ข้อค้นพบหลักในระดับโลกชี้ว่า คะแนนประชาธิปไตยเฉลี่ยทั่วโลกในปี 2024 อยู่ที่ 5.17 ลดลงจาก 5.23 ในปี 2023 สะท้อนภาวะถดถอยของประชาธิปไตยที่ดำเนินมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2007 โดยการจัดประเภทประเทศพบว่า 25 ประเทศ (15%) อยู่ในกลุ่มประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ 46 ประเทศ (27.5%) เป็นประชาธิปไตยบกพร่อง 36 ประเทศ (21.6%) อยู่ภายใต้ระบอบผสม และ 60 ประเทศ (35.9%) อยู่ในระบอบเผด็จการ
รายงานยังระบุว่าระบอบประชาธิปไตยล้มเหลวในการตอบสนองต่อความต้องการของสาธารณชน พลเมืองรู้สึกห่างเหินจากพรรคการเมืองและรัฐบาล ขณะที่สถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมีบทบาทเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความพร้อมรับผิดลดลง
โดยปรากฏการณ์ประชานิยมเป็นอาการสะท้อนปัญหาดังกล่าว ปี 2024 ยังถูกเรียกว่าเป็นปีแห่งการเลือกตั้ง (Votequake) เนื่องจากมีการเลือกตั้งระดับชาติใน 75 ประเทศ นับเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ในขณะเดียวกันหลายประเทศเผชิญการต่อต้านรัฐบาลหรือพรรคการเมืองเดิมอย่างกว้างขวาง และมีการเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยที่ไม่เสรี ไม่เป็นธรรม
ส่วนประเทศไทยนั้น รายงาน Democracy Index 2024 จัดให้อยู่ในกลุ่ม “ประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง” (Flawed Democracy) ด้วยคะแนน 6.27/10 ซึ่งไม่เปลี่ยนจากปี 2023 และอยู่ในอันดับประมาณ 63 จาก 167 ประเทศ สะท้อนบริบทที่แม้การเลือกตั้งจะมีการแข่งขันได้ แต่ยังถูกจำกัดด้วยโครงสร้างสถาบันที่ไม่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลมีความรับผิดชอบต่ำและถูกครอบงำโดยองค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกันภาคประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน มีการมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง แต่เสรีภาพสื่อและการแสดงความคิดเห็นยังถูกจำกัด การเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นพลังของประชาชนแต่ถูกขัดขวางด้วยกลไกเชิงโครงสร้าง พรรคเพื่อไทยสามารถกลับมามีอำนาจผ่านข้อตกลงกับฝ่ายทหาร ส่วนพรรคก้าวไกลสะท้อนความต้องการปฏิรูปแต่ถูกกันออกจากการจัดตั้งรัฐบาล
ทั้งนี้รัฐธรรมนูญปี 2560 ยังคงเอื้ออำนาจแก่สถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทำให้ประเทศไทยเป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยที่มีการแข่งขันทางเลือกตั้งแต่ยังถูกจำกัดเชิงโครงสร้าง โดยคะแนนของไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยเอเชียเล็กน้อยและอยู่ในกลุ่มเดียวกับอินโดนีเซียและมาเลเซีย
โดยภาพรวม รายงานนี้ประเมินว่าไทยเป็น “ประชาธิปไตยที่บกพร่องแต่ยืดหยุ่นได้” ที่มีพลังภาคประชาชนเข้มแข็งแต่ยังอยู่ภายใต้กรอบควบคุมของอำนาจเดิม
The Global State of Democracy 2025
รายงาน The Global State of Democracy 2025 จัดทำโดย International Institute for Democracy and Electoral Assistance (International IDEA) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาลที่สนับสนุนและเสริมสร้างสถาบันและกระบวนการทางการเมืองประชาธิปไตยทั่วโลก โดยประเมินความเป็นประชาธิปไตยใน 4 ด้าน ได้แก่ การเป็นตัวแทน สิทธิ หลักนิติธรรม และการมีส่วนร่วม ครอบคลุม 174 ประเทศทั่วโลกตั้งแต่ปี 1975–2024 ใช้ตัวชี้วัด 154 รายการจากแหล่งข้อมูลนานาชาติ 22 แห่ง เช่น UN, World Bank, Freedom House และ V-Dem พร้อมใช้สเกลคะแนน 0–1 โดยค่ามากกว่า 0.7 หมายถึงระดับประชาธิปไตยสูง ค่าระหว่าง 0.4–0.7 เป็นระดับประชาธิปไตยปานกลาง และค่าต่ำกว่า 0.4 สะท้อนประชาธิปไตยต่ำ ทั้งนี้ การประเมินอาศัยทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพประกอบกันเพื่อให้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงของประชาธิปไตยทั่วโลกอย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง[2]
ข้อค้นพบหลักในระดับโลกจากรายงาน The Global State of Democracy 2025 ชี้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคแห่งความไม่แน่นอนอย่างสุดขั้ว” สำหรับระบอบประชาธิปไตย โดยแนวโน้มการถดถอยของประชาธิปไตยเกิดขึ้นมากกว่าความก้าวหน้าในทุกภูมิภาค ขณะที่ความไม่มั่นคงทางการเมือง ความขัดแย้ง และความอ่อนแอของระบบพหุภาคีนิยมยิ่งเร่งให้การเสื่อมถอยรุนแรงขึ้น โดยในระหว่างปี 2019–2024 มี 94 ประเทศ (54%) ที่ค่าดัชนีประชาธิปไตยถดถอยอย่างน้อยหนึ่งปัจจัย และมีเพียง 55 ประเทศ (32%) ที่มีพัฒนาการดีขึ้น ด้านการเป็นตัวแทนเป็นหมวดที่ลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2001 โดยมีจำนวนประเทศที่ถดถอยมากกว่าประเทศที่ก้าวหน้าถึง 7 เท่า
ส่วนหมวดหลักนิติธรรมเป็นด้านที่ถดถอยหนักที่สุด โดย 71 ประเทศ (41%) อยู่ในระดับต่ำ สิทธิเสรีภาพก็ถดถอยรุนแรง โดยเฉพาะเสรีภาพสื่อมวลชนและการแสดงความคิดเห็น ขณะที่การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหมวดที่คงตัวมากที่สุด แต่ภาพรวมด้านการเป็นตัวแทนทั่วโลกยังลดลงถึงระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี โดยเฉพาะในด้าน “ความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้ง” และ “ประสิทธิผลของรัฐสภา” ซึ่งสะท้อนวิกฤตความเชื่อมั่นต่อสถาบันประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
ในรายงาน The Global State of Democracy 2025 ประเทศไทยถูกนำเสนอว่าเป็น “ประชาธิปไตยที่เปราะบาง” ซึ่งแม้จะมีความก้าวหน้าเพียงบางส่วน แต่ก็ยังเผชิญความตึงเครียดทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยแม้ไทยจะเป็นหนึ่งในสองประเทศผลการดำเนินงานต่ำ (ร่วมกับบังกลาเทศ) ที่มีพัฒนาการด้านเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นระหว่างปี 2019–2024 แต่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำดั้งเดิมกับพรรคการเมืองก้าวหน้าจำกัดการปฏิรูป ส่งผลให้ความก้าวหน้าด้านสิทธิเสรีภาพยังไม่มั่นคง
ขบวนการภาคประชาชนและเยาวชนแม้เป็นพลังสำคัญก็ยังเผชิญการคุกคามและการดำเนินคดี ทำให้ไทยเป็นตัวอย่างของ “ประชาธิปไตยแบบถูกท้าทาย” ที่แม้จะมีการปฏิรูปบางประการแต่ยังถูกจำกัดด้วยโครงสร้างอำนาจเดิม สะท้อนภาพรวมของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิกที่มีความคืบหน้าทางประชาธิปไตยเพียงบางส่วนแต่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมและแรงกดดันทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง
Democracy Report 2025
รายงาน Democracy Report 2025 จัดทำโดย Varieties of Democracy (V-Dem) Institute แห่งภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นความร่วมมือวิจัยระดับนานาชาติที่มีผู้เชี่ยวชาญกว่า 4,200 คนจากทั่วโลก พร้อมด้วยผู้ประสานงานประเทศ 134 คน ผู้จัดการภูมิภาค 26 คน และผู้จัดการโครงการ 23 คน โดย V-Dem ได้พัฒนาฐานข้อมูลประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุม 202 ประเทศตั้งแต่ปี 1789–2024 รวมข้อมูลกว่า 31 ล้านรายการ
รายงานนี้ใช้ ดัชนีประชาธิปไตยเสรี (Liberal Democracy Index: LDI) เป็นดัชนีหลัก ซึ่งผสานระหว่างดัชนีประชาธิปไตยเชิงเลือกตั้ง (Electoral Democracy Index) ที่วัดคุณภาพการเลือกตั้ง สิทธิเลือกตั้ง เสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่ม กับดัชนีองค์ประกอบเสรีนิยม (Liberal Component Index) ที่วัดหลักนิติธรรม ความเป็นอิสระของตุลาการ การจำกัดอำนาจฝ่ายบริหาร และความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย โดยให้คะแนนตั้งแต่ 0–1 และมีการปรับปรุงข้อมูลทุกปีเพื่อความสอดคล้องและน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ V-Dem จำแนกระบอบการปกครองออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประชาธิปไตยเสรี ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง เผด็จการแบบเลือกตั้ง และเผด็จการแบบปิด[3]
ข้อค้นพบหลักจาก Democracy Report 2025 ชี้ว่าโลกยังอยู่ใน “คลื่นลูกที่สามแห่งการถดถอยสู่เผด็จการ” ต่อเนื่องมานานกว่า 25 ปีโดยไม่ฟื้นตัว โดยประเทศขนาดใหญ่อย่างอินเดีย สหรัฐฯ จีน รัสเซีย และตุรกีเป็นตัวเร่งสำคัญ ทำให้สภาพประชาธิปไตยโลกปี 2024 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ระดับประชาธิปไตยเฉลี่ยของโลกถอยหลังไปเทียบเท่าทศวรรษ 1980 ขณะที่จำนวนประเทศเผด็จการ (91) มีมากกว่าประเทศประชาธิปไตย (88) เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี และกว่า 72% ของประชากรโลกอาศัยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ
องค์ประกอบประชาธิปไตยเกือบทุกด้านเสื่อมถอย โดยเฉพาะเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น การเลือกตั้งเสรี การรวมตัวอย่างเสรี และหลักนิติธรรม ขณะเดียวกันมี 45 ประเทศกำลังถดถอยสู่เผด็จการ และเพียง 19 ประเทศที่อยู่ในทิศทางเป็นประชาธิปไตย แม้ปี 2024 จะเป็นปีแห่งการเลือกตั้งใน 61 ประเทศ แต่ทิศทางประชาธิปไตยโลกแทบไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของภาคประชาชน เยาวชน และการตรวจสอบเลือกตั้งในหลายประเทศ รวมถึงกรณีฟื้นตัวบางส่วนในบราซิลและไทย ยังคงเป็นความหวังต่ออนาคตประชาธิปไตยโลก
ในรายงาน V-Dem Democracy Report 2025 ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “เผด็จการแบบเลือกตั้ง” (Electoral Autocracy – EA) ที่กำลังฟื้นตัวทางประชาธิปไตยหลังการเลือกตั้งปี 2023 ซึ่งสะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชนสูงและแรงเรียกร้องต่อการปกครองโดยพลเรือน แม้ยังถูกจำกัดด้วยอำนาจของวุฒิสภาและกฎหมายทางการเมือง รายงานระบุว่าไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้น และเป็นหนึ่งในสามประเทศหลักของโลกที่อยู่ในกระบวนการประชาธิปไตยร่วมกับบราซิลและโปแลนด์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออก–แปซิฟิกมีประชากรถึง 89% อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ แต่ไทย (เช่นเดียวกับมาเลเซียและฟิจิ) แสดงสัญญาณบวก
ขณะที่อินโดนีเซียกลับถดถอย ปัจจัยเชิงบวกของไทยมาจากการเลือกตั้งที่โปร่งใสมากขึ้น เสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่มที่ดีขึ้น และการมีส่วนร่วมของเยาวชนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามไทย V-Dem มองว่าไทยเป็นกรณีของ “การฟื้นตัวประชาธิปไตยอย่างระมัดระวัง” ซึ่งยังคงเป็นระบอบเผด็จการในรูปแบบ แต่กำลังขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นพหุนิยมและการแข่งขันทางการเมืองมากขึ้นด้วยพลังของภาคประชาชน
บทสรุป: ประเทศไทยอยู่ตรงไหน
ข้อค้นพบในระดับโลกจากรายงานทั้งสามชิ้นบ่งชี้ว่า สถานการณ์ประชาธิปไตยทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงถดถอยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยมีความเสื่อมถอยในแทบทุกภูมิภาค ทั้งในด้านคุณภาพการเลือกตั้ง ความเป็นตัวแทนของสถาบันการเมือง หลักนิติธรรม และเสรีภาพสาธารณะ หลายประเทศประสบปัญหาการเลือกตั้งที่ไม่เสรี การเมืองที่ถูกครอบงำโดยชนชั้นนำหรือสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ขณะที่เสรีภาพสื่อและการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดมากขึ้นอย่างกว้างขวาง จำนวนประเทศเผด็จการเพิ่มสูงจนแซงจำนวนประเทศประชาธิปไตย และประชากรโลกส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในระบอบที่มีการควบคุมเข้มงวด สะท้อนภาวะ “คลื่นถดถอยประชาธิปไตย” ที่ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน แม้หลายประเทศจะจัดการเลือกตั้งจำนวนมากในปีที่ผ่านมา แต่โดยรวมแล้วผลดังกล่าวไม่ได้นำไปสู่การปฏิรูปประชาธิปไตยที่กว้างขวาง
สำหรับประเทศไทยนั้น รายงานทั้งสามชิ้นบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่าอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่ยังไม่สมบูรณ์ที่มีการแข่งขันทางการเมืองแต่ถูกจำกัดด้วยโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม การเลือกตั้งมีความโปร่งใสขึ้นและการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่การขับเคลื่อนประชาธิปไตยยังติดขัดจากบทบาทของสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง กระบวนการยุติธรรมที่ถูกตั้งคำถาม กฎหมายที่จำกัดเสรีภาพสื่อและการแสดงความคิดเห็น รวมถึงความตึงเครียดระหว่างชนชั้นนำเดิมกับพลังการเมืองใหม่ แม้มีสัญญาณบวกในหลายด้าน แต่ภาพรวมยังสะท้อนว่าประชาธิปไตยไทยอยู่ในสภาวะเปราะบางและยังต้องต่อสู้กับข้อจำกัดเชิงสถาบันที่ฝังรากลึก
การปฏิรูปไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งขึ้น ประเทศไทยจำเป็นปฏิรูปโครงสร้างอำนาจสถาบันการเมืองใหม่ เสริมสร้างหลักนิติธรรม สร้างเสริมการตรวจสอบถ่วงดุลและความพร้อมรับผิด และทบทวนกฎหมายที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพสื่อ ควบคู่กับการคุ้มครองพื้นที่ทางการเมืองสำหรับประชาชนและเยาวชนที่เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ นอกจากนี้ การสนับสนุนเสรีภาพสื่อ การพัฒนาพรรคการเมืองให้มีความเข้มแข็ง และการเปิดพื้นที่สาธารณะให้เกิดการถกเถียงอย่างเสรีจะช่วยสร้างระบบการเมืองที่ตอบสนองประชาชนมากขึ้น
แม้ว่าภูมิทัศน์ระบอบประชาธิปไตยในโลกจะอยู่ในช่วงถดถอย แต่กรณีของไทยแสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสฟื้นตัว หากสามารถคลายข้อจำกัดทางโครงสร้างและส่งเสริมพลังภาคประชาชนให้ทำงานได้เต็มศักยภาพ
อ้างอิง:
[1] ผู้สนใจสามารถอ่านรายงานได้ที่ https://www.eiu.com/n/campaigns/democracy-index-2024/
[2] ผู้สนใจสามารถอ่านรายงานได้ที่ https://www.idea.int/publications/catalogue/html/global-state-democracy-2025-democracy-move
[3] ผู้สนใจสามารถอ่านรายงานได้ที่ https://www.v-dem.net/documents/60/V-dem-dr__2025_lowres.pdf


