รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า ลำพังเจตนาดีเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำมาซึ่งผลลัพธ์ทางการเมืองที่ต้องการได้ และบ่อยครั้ง เจตนาดีที่ปราศจากการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านนั้นเอง อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่มุ่งหวัง
การคอร์รัปชันไม่เพียงแต่ไม่ได้หมดไป แต่ดูเหมือนจะเจริญเติบโตได้ดีภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงฉบับนี้
ส่วนหนึ่งของประชาชนชาวไทยอาจรู้สึกเจ็บแค้นกับผลพวงของรัฐประหารที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องจากนานในรูปแบบของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับศึกรอบด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ยิ่งกว่าซบเซาและความไม่มั่นคงของการจ้างงาน ปัญหาเฉพาะหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าเรื่องที่ซับซ้อนอย่างการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นในโมงยามนี้หรือไม่
คำตอบคือ เช่นเดียวกับการลงทุนในพลังงานสะอาด เวลาที่ดีที่สุดคือเมื่อวาน เพราะแม้แต่วันนี้ก็ถือว่าสายเสียแล้วสำหรับกระบวนการที่จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะผลิดอกออกผล อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าทำช้าย่อมดีกว่าไม่ทำเลย
ขณะนี้ รัฐสภากำลังถกเถียงที่มาอันเหมาะของสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าควรจะใช้กลไกของรัฐสภาในการเลือกเป็นหลัก ควรเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงผ่านการเลือกตั้ง หรือใช้ทั้งสองแบบผสมกัน
อย่างไรก็ตาม ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ซึ่งเผยแพร่เมื่อ 10 ก.ย. 68 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (โดยไม่ได้มีใครขอ ซึ่งก็นับเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง) ยืนยันว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ “แต่ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” จึงทำให้โมเดล สสร. แบบเลือกตั้งโดยตรงเป็นหลักนั้นอาจไม่ได้เกิดขึ้น
บทความนี้จึงขอนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการติดตามการโหวตแก้รัฐธรรมนูญวาระสามที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้
1. รัฐธรรมนูญในฐานะรูปแบบหนึ่งของความรู้ส่วนรวม (collective wisdom)
ไม่ว่าผลการประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นอย่างไร ที่มาของ กมธ. ยกร่าง รธน. และ สสร. นั้นควรพิจารณาถึงความยึดโยงกับประชาชนเป็นหลัก ทั้งนี้ เนื่องจากการออกแบบรัฐธรรมนูญในการเมืองแบบประชาธิปไตยตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าความยึดโยงกับประชาชนไม่เพียงเป็นบรรทัดฐานทางการเมืองอันพึงประสงค์เท่านั้น
หากแต่การรวบรวมเอาความคิดและมุมมองอันหลากหลายนั้น อาจนำไปสู่การออกแบบรัฐธรรมนูญที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย (ดูเพิ่มเติม เช่น ดีเบทเกี่ยวกับ “Diversity Trumps Ability Theorem และการประยุกต์ในการออกแบบสถาบันทางการเมืองในหนังสือ Collective Wisdom: Principles and Mechanisms, Cambridge University Press, 2012)
2. สมดุลของความรู้เชิงเทคนิค
นักวิชาการบางคนเช่น Russel (1993) เสนอโมเดลรูปนาฬิกาทรายในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในอันดับแรก ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ประชาชนจำนวนมาก เปรียบเสมือนส่วนที่กว้างของนาฬิกาทราย) ในขั้นตอนของการยกร่างอาจใช้คณะผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆที่เกี่ยวข้อง (จำนวนน้อยกว่าประชาชน เปรียบเสมือนส่วนที่แคบของนาฬิกาทราย) เช่น นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ในการยกร่างฯ

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม คณะผู้ร่างฯไม่ควรมีจำนวนน้อยเกินไปและที่สำคัญ ควรออกแบบกระบวนการการเลือกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการครอบงำทางการเมือง ทั้งนี้ เนื่องจากในกระบวนการดังกล่าวอาจนำไปสู่การเพิ่มอำนาจให้ตนเองของสภานิติบัญญัติโดยทางอ้อมที่เรียกว่าปรากฏการณ์ self-enhancing legislature-centric bias
ในขั้นตอนสุดท้าย ประชาชน (เปรียบเสมือนส่วนที่กว้างของนาฬิกาทราย) สามารถลงคะแนนเสียงเพื่อรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวที่ สสร. จัดทำขึ้นด้วยโมเดลดังกล่าว กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญสามารถใช้ประโยชน์ทั้งจากการถกเถียงและรวบรวมข้อมูลจากสาธารณะในวงกว้างและความเชี่ยวชาญของคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความชอบธรรมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวและเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต
3.สมดุลของอารมณ์และเหตุผล
ในความเป็นจริง กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญมักเกิดขึ้นท่ามกลางอารมณ์ทางการเมืองอันคุกรุ่น (กล่าวอย่างง่ายคือ สังคมที่ไม่มีปัญหาก็ย่อมไม่มีดำริที่จะลุกขึ้นมาเขียนกติกาการอยู่ร่วมกันใหม่เป็นแน่แท้) ในทางกลับกัน สังคมไทยในขณะนี้ดูเหมือนประสบปัญหากับการทำให้สาธารณชนหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้
นักวิชาการบางคนตั้งข้อสังเกตว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเกิดขึ้นและประสบความสำเร็จได้หากปราศจากบรรยากาศความตื่นตัวทางการเมือง ในแง่นี้ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญจึงต้องอาศัยทั้งความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนทั่วไปและความรู้เชิงเทคนิคอันปราศจากอคติของคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญประกอบกัน
4.ความจำเป็นของดีเบทนอกสภา
สุดท้ายนี้ เนื่องจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญไม่ได้เกิดขึ้นแค่ใน สสร. หรือในรัฐสภาแต่เกิดขึ้นทั่วไปทั้งสังคม การถกเถียงแลกเปลี่ยนนอกสภาฯทั้งก่อนขั้นตอนแรกของการทำประชามติจะเกิดขึ้น ระหว่างกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญโดย สสร. ตลอดจนขั้นตอนสุดท้ายในการลงมติรับหรือไม่รับร่างฯดังกล่าวจึงจำเป็นอย่างยิ่งยวดหน้าที่ของรัฐบาลจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการกระบวนการในรัฐสภาเท่านั้น
แต่จำเป็นจะต้องอำนวยความสะดวกตลอดจนให้ข้อมูลและอำนวยความสะดวกให้เกิดการแลกเปลี่ยนถกเถียงกันในวงกว้างเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ก้าวพ้นจากอาการสายตาสั้นเรื้อรังดังที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็น
อ้างอิง:
- Russell, Peter, Constitutional Odyssey: Can Canadians Become a Sovereign People, rev. ed., University of Toronto Press, 1993.
- Elster, Jon. “The Optimal Design of a Constituent Assembly.” Chapter. In Collective Wisdom: Principles and Mechanisms, edited by Hélène Landemore and Jon Elster, 148–72. Cambridge: Cambridge University Press, 2012.




