การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2568 พร้อมข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2568 ซึ่งกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1–3% และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วจะได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
ทั้งนี้ ตามมาตรา 28/8 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 และที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติให้ กนง. จัดทำเป้าหมายของนโยบายการเงินของปีถัดไปให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมของทุกปีโดยเป้าหมายดังกล่าวจะเริ่มใช้ 1 ม.ค. 68
สาระสำคัญ
1. กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2568 พร้อมข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2568 โดยกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เนื่องจากเป็นระดับที่เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่สอดคล้องกับศักยภาพและมีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับปี 2568 ดังกล่าว เป็นการกำหนดเป้าหมายเช่นเดียวกันกับปี 2563 – 2567 ที่ผ่านมา
2. การกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางและเป้าหมายสำหรับปี 2568 มีความเหมาะสมในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาและมีความสอดประสานกับแนวนโยบายแห่งรัฐ สภาวะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ เนื่องจาก
- เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพและที่ผ่านมาสามารถยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางให้อยู่ในกรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
- มีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่เป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิด
- การคงเป้าหมายเป็นการแสดงความตั้งใจที่จะรักษาเสถียรภาพด้านราคา และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน
ทั้งสองฝ่ายจะมีการดูแลเพื่อให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ภายในช่วงดังกล่าวอย่างเหมาะสมและไม่อยู่ในระดับที่สูงหรือต่ำเกินไป อย่างต่อเนื่อง โดยให้เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในระดับกึ่งกลางของช่วงดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ออกประกาศเรื่อง “เป้าหมายของนโยบายการเงินปี 2568” โดยระบุว่าเมื่อ 24 ธ.ค. 67 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2568 ที่เป็นความตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กับรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติในมาตรา 28/8 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยพุทธศักราช 2485 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551
อำนาจตามกฎหมาย
กนง. ได้ออกประกาศฉบับนี้เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามความในมาตรา 28/8 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551
เนื้อหา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงินได้ตกลงร่วมกัน ดังนี้
1. เป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางและเป้าหมายสำหรับปี 2568 ที่ร้อยละ 1-3 มีความเหมาะสมในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาและมีความสอดประสานกับแนวนโยบายแห่งรัฐ สภาวะเศรษฐกิจ และการเงินของประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2568
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะมีการดูแลเพื่อให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ภายในช่วงดังกล่าวอย่างเหมาะสมและไม่อยู่ในระดับที่สูงหรือต่ำเกินไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในระดับกึ่งกลางของช่วงดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องต้องกันว่า การมีเสถียรภาพด้านราคาจะช่วยเอื้อให้ภาคเอกชนวางแผนการบริโภคและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อันเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และระบบการเงินมีเสถียรภาพในระยะยาว
กรอบเป้าหมายของนโยบายการเงินที่ร้อยละ 1-3 มีความเหมาะสมเนื่องจาก
(1) เป้าหมายดังกล่าวเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพ และที่ผ่านมาสามารถยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางให้อยู่ในกรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
(2) ช่วงร้อยละ 1-3 มีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่เป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิด ทำให้เงินเฟ้อไทยถูกขับเคลื่อนจากปัจจัยด้านอุปทานและปัจจัยนอกประเทศในสัดส่วนที่สูง ซึ่งการมีกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยืดหยุ่นช่วยรองรับความผันผวนจากปัจจัยอุปทานที่จะมีมากขึ้นในระยะข้างหน้า
(3) การคงเป้าหมายเป็นการแสดงความตั้งใจที่จะรักษาเสถียรภาพด้านราคา อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนและช่วยยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย
2. การบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะปานกลาง
กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือร่วมกันเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินมีความสอดประสาน โดยการดำเนินนโยบายการเงินมุ่งที่จะดูแลภาวะเศรษฐกิจการเงินโดยใช้เครื่องมือแบบผสมผสาน ทั้งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมและการดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนเกินไป ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเอื้ออำนวยต่อการลงทุนและรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อีกทั้งสนับสนุนมาตรการทางการเงินโดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนและตรงจุด เพื่อดูแลแนวโน้มเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย และสนับสนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้เต็มศักยภาพ
ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) การดำเนินนโยบายการเงินจะพิจารณาดูแลแนวโน้มเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย ควบคู่กับดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เต็มศักยภาพ และป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมความเสี่ยงต่อระบบการเงิน โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและตรงจุด ทำให้นโยบายการเงินไม่ต้องตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อมากเกินไปจนเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือกระทบเสถียรภาพระบบการเงิน ทั้งในช่วงที่เงินเฟ้อสูงหรือต่ำจากปัจจัยชั่วคราวขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังและ กนง. เห็นพ้องกันว่าไม่ต้องการเห็นภาวะเงินฝืดหรืออัตราเงินเฟ้อที่ติดลบอย่างต่อเนื่องจากราคาสินค้าและบริการที่ลดลงในวงกว้างโดยมีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
3. ข้อตกลงในการติดตามและรายงานผลการดำเนินนโยบาย รวมถึงการหารือร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนโยบายการเงิน
กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือร่วมกันเป็นประจำและ/หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน
กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ
(1) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา
(2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป
(3) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต
4. ข้อตกลงในการออกจดหมายเปิดผนึกของ กนง. ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน
ในระยะข้างหน้า กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2568 และ 2569 จะอยู่ในกรอบเป้าหมาย อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงทั้งจากปัจจัยด้านอุปทานและปัจจัยเชิงโครงสร้าง ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในบางช่วงผันผวนและเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายได้ ดังนั้น กนง. จะติดตามและประเมินผลกระทบของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ต่อพลวัตเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง เพื่อเป็นการสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาให้แก่สาธารณชน โดยจะชี้แจงถึง
- สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายดังกล่าว
- แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม
- ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย
นอกจากนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย และจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร
5. ข้อตกลงในการแก้ไขเป้าหมายนโยบายการเงินหากมีเหตุจำเป็น
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ดอกเบี้ยขาลง ลดแรงกดดันกนง.
ในช่วงปี 67 เกิดความขัดแย้งระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เรื่องนโยบายดอกเบี้ย โดยรัฐบาลต้องการให้ธปท.ลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีการให้ความเห็นกดดันตั้งแต่รัฐมนตรีคลัง รัฐบาลพาณิชย์ ที่ปรึกษา รวมถึงข้าราชการประจำของกระทรวงการคลัง โดยมีการโต้แย้งกันมานานเกือบหนึ่งปี ก่อนที่กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยครั้งหลังสุด
เมื่อครม.เห็นชอบกรอบการเงินในปี 68 ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างกระทรวงการคลังกับกนง. ชี้ให้เห็นว่าแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองลดลง อีกทั้งดอกเบี้ยโลกขาลง อาจทำให้กนง.พิจารณาปรับลดดอกเบี้ยตาม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐโลก เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับหลายประเทศ รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นับว่าเป็นปัจจัยให้กนง.ต้องลดดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศ
เผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ที่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดอกเบี้ยของธปท. ไม่ได้แสดงความเห็นเรื่องการคงเป้าหมายครั้งนี้ แต่กล่าวถึงค่ากลางเงินเฟ้อที่ 2% โดยระบุว่ามีความเป็นไปได้ จากที่ผ่านมาเงินเฟ้อไม่ขยับไปถึง 2%
เผ่าภูมิ ระบุว่าที่ผ่านมาการประสานระหว่างนโยบายการเงินและการคลังดีขึ้น หลังจากพูดคุยกันมากขึ้น มีการจูนภาพทางเศรษฐกิจตรงกันมากขึ้น และมองความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจตรงกันมากขึ้น สะท้อนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
เป้าหมายนโยบายการเงินปี 67 กรอบเงินเฟ้อ 1-3%