ThaiPBS Logo

ทำไมแบงก์ลดดอกเบี้ย “น้อย-ช้า”กว่ากนง. รอบนี้ใครได้อานิสงส์?

18 พ.ค. 256816:38 น.
ทำไมแบงก์ลดดอกเบี้ย “น้อย-ช้า”กว่ากนง. รอบนี้ใครได้อานิสงส์?
ไขข้อสงสัยว่าทำไมแบงก์ลดดอกเบี้ยช้าและน้อยกว่ากนง. คากอาจต้องใช้เวลากว่าการปรับลดดอกเยี้ยจะลงถึงผู้กู้เงิน แต่ในรอบนี้คาดว่าผู้ประกอบธุรกิจและผู้กู้ซื้อบ้านจะได้ประโยชน์มากสุด แนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยขาลงถึงสิ้นปีนี้

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อ 30 เม.ย.68 แม้จะมีผลทันที แต่กว่าธนาคารพาณิชย์จะเริ่มปรับดอกเบี้ยลงหลังจากนั้น บางธนาคารปรับลงอีกไม่กี่วันต่อมา แต่บางธนาคารยังไม่มีการปรับลง

คนทั่วไป ที่ติดตามเรื่องดอกเบี้ยมักจะสงสัยว่าเหตุใดบรรดาธนาคารพาณิชย์จึงปรับดอกเบี้ยช้ากว่ากนง. ทั้ง ๆ ที่มีมติปรับลดเบี้ยมีผลทันที อีกทั้งการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็ไม่เท่ากับกนง.

ดอกเบี้ยนโยบายของกนง. เป็นดอกเบี้ยธุรกรรมการซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี (Bilateral Repurchase Transactions) ซึ่งธปท. ทำธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคีผ่านคู่ค้าที่ ธปท. แต่งตั้ง (Bilateral Primary Dealers) ซึ่งเป็นเครื่องมือในดูดซับหรือปล่อยสภาพคล่องแบบชั่วคราว เพื่อให้ปริมาณสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับความต้องการสภาพคล่องของระบบการเงิน

ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย กับดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์มีวิธีคิดแตกต่างกัน ซึ่งทำให้เมื่อมีการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว เป็นการปรับดอกเบี้ย “ธุรกรรมการซื้อคืนพันธบัตรแบบทวิภาคี” ไม่ใช่ดอกเบี้ยกู้-ยืมของลูกค้าธนาคารพาณิชย์

ธนาคารพาณิชย์มักจะได้รับแรงกดดันในเรื่องผลกำไรแต่ละปี โดยคนมักจะโยงไปเรื่องการปรับลดดอกเบี้ย แต่ธนาคารพาณิชย์ยังคิดดอกเบี้ยเงินกู้ “แพง” ในขณะที่เงินฝากดอกเบี้ย ”ต่ำ“

อย่างไรก็ตาม หากต้องการเข้าใจเรื่องการลด—การขึ้นดอกเบี้ย จะต้องพิจารณาในเรื่อง “ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ” หรือ Net Interest Margin (NIM) ซึ่งก็คือ ความสามารถในการหารายได้ของธนาคารพาณิชย์จากส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมด โดยจะครอบคลุมทั้งสินเชื่อและเงินฝาก เงินให้กู้และเงินกู้ยืมระหว่างสถาบันการเงิน รวมถึงเงินลงทุนซึ่งส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้

แต่ NIM ชี้ให้เห็นถึงการวัดผลกำไรเบื้องต้นจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งไม่ได้สะท้อนผลกำไรที่แท้จริง (net profit) เนื่องจาก NIM ยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อ เช่น ค่าความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) และค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายพนักงานและเครือข่ายสาขา นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ยังมีรายได้อื่น เช่น ค่าธรรมเนียมกำไรจากธุรกรรมตลาดเงินและเงินปันผล

ดังนั้น จึงตอบคำถามว่าทำไมหลังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกนง. เมื่อปลายเดือนเม.. 2568 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เริ่มปรับดอกเบี้ยลงในกรอบ 0.05-0.15% ซึ่งปรับลดดอกเบี้ยทั้งเงินกู้-เงินฝาก

เมื่อไรคนกู้จะได้ประโยชน์จากลดดอกเบี้ย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า NIM ของระบบแบงก์ไทยมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2/2568 มาอยู่ที่ 2.83% จาก 2.92% ในไตรมาสที่ 1/2567 และคาดว่า NIM ยังมีโอกาสลดลงต่อเนื่องไปอยู่ที่ระดับประมาณ 2.75% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ภายใต้สมมติฐานที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศอาจปรับลดลงอีก 1 ครั้งเพื่อช่วยประคองแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่การฟื้นตัวของสินเชื่อในภาพรวมยังต้องใช้เวลา

ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายและ NIM ของธนาคาร

fvdg[uhp

หากมองย้อนกลับไปที่การลดดอกเบี้ยของ กนง. 3 รอบที่ผ่านมา (เดือนต.. 2567 เดือนก.. 2568 และเดือนเม.. 2568) พบว่ามีการทยอยส่งผ่านมายังอัตราดอกเบี้ยและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM)ในระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ  เพราะแม้ผลในด้านหนึ่งจากการปรับลดดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนการระดมเงินฝากลดลง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารก็ลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในช่วงที่การปล่อยสินเชื่อใหม่ยังมีจำกัดตามสัญญาณอ่อนแอของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

NIM ระบบแบงก์ไทยที่ชะลอลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นั้น สะท้อนผลจากต้นทุนเงินฝากที่ขยับลงช้ากว่าผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อ เพราะอานิสงส์จากการปรับลดดอกเบี้ยจะทยอยมีผลต่อการรับรู้ต้นทุนเงินฝากตามรอบการครบกำหนดของระยะเวลาฝากเงิน

จากโครงสร้างพอร์ตเงินฝากของระบบแบงก์ไทย เป็นที่น่าสังเกตว่า ยอดเงินรับฝากในสกุลเงินบาทส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากกระแสรายวัน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 69% ของเงินรับฝากโดยรวม

เงินฝาก

อย่างไรก็ดี ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์มีการปรับลดลงค่อนข้างน้อยในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น ต้นทุนการระดมเงินฝากมักจะขยับตามรอบของเงินฝากประจำ โดยเงินฝากประจำระยะไม่เกิน 3 เดือน, ระยะ 3-6 เดือน และระยะ 6-12 เดือน มีสัดส่วนประมาณ 5%, 3% และ 17% ตามลำดับ 

นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปมองภาพรวมการปรับดอกเบี้ยของแบงก์ตามรอบการปรับดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ระหว่างเดือนต.. 2567-เม.. 2568 จะพบว่า การปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากมีช่วงเวลาที่หน่วงและช้ากว่าการปรับลดดอกเบี้ยในฝั่งเงินกู้อยู่ประมาณ 1 รอบ 

ปรับรอบนี้ลูกหนี้บ้าน-สินเชื่อธุรกิจได้ประโยชน์

คาดว่าจะเห็นธนาคารพาณิชย์เร่งปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายลงอีกในช่วงที่เหลือของปี 2568 ท่ามกลางแนวโน้มของ NIM ที่จะยังลดลงต่อตามทิศทางดอกเบี้ยในประเทศในครึ่งปีหลัง ขณะที่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจกระทบการปล่อยสินเชื่อ ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมฟื้นตัวช้า รวมถึงทำให้ความเสี่ยงขาขึ้นของหนี้ด้อยคุณภาพยังมีอยู่

ผลดีของการลดดอกเบี้ยรอบนี้จะอยู่ที่ลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อบ้านที่จะเข้าสู่ช่วงปรับดอกเบี้ยเป็นหลัก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบุคคลที่มีหลักประกันอื่น ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนสิ้นปี 2568 จะมีสัดส่วนประมาณ 56.6% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทย

ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในรอบนี้จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจปรับลดลงประมาณ 4,400-4,900 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานที่เริ่มคำนวณผลของภาระดอกเบี้ยเงินกู้รอบนี้ที่ลดลงในช่วงระหว่างเดือนพ..-.. 2568

ที่มา :

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย โดยกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย

อ่านเนื้อหาอื่น 

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

นโยบายการเงิน (Monetary Policy)

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายการเงินผ่าน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยใช้เครื่องมือหลัก คือ ‘อัตราดอกเบี้ยนโยบาย’ เพื่อรักษาระดับราคาสินค้าและบริการ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปจนกระทบกับเศรษฐกิจ โดยกนง.มีการตั้งขึ้นเมื่อปี 2551 ทำให้การกำหนดนโยบายการงินของไทย "ก้าวสู่ยุคใหม่"

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: