รัฐบาลได้แถลงนโยบายด้านเศรษฐกิจตามนโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” โดยใช้หลัก “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” กระทรวงการคลังจึงจัดทำมาตรการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) อย่างครอบคลุมและครบถ้วนในทุกมิติ เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” ภายใต้เสาหลักที่ 3 เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs
ครม.เคาะงบ 2.17 หมื่นล้านควิกวินเอสเอ็มอี
ล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 68 มีมติเห็นชอบมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย พร้อมอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรวม 21,750 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ เพื่อดำเนินมาตรการ ดังนี้
1.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win” ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 10,500 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินโครงการ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากโครงการค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้อย่างทันกาลด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
จึงให้ บสย. พิจารณางดเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการที่นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการจ่าย ค่าประกันชดเชย ค่าจัดการค้ำประกัน และค่าดำเนินการค้ำประกัน ซึ่งจะเป็นการลดภาระทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถได้รับสินเชื่อได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ให้ บสย. ร่วมกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ สามารถใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ในมิติต่าง ๆ จากโครงการค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งอาจนำอารีย์สกอร์ (Ari Score) ที่กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างพัฒนา เป็นเครื่องมือทางเลือกเพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนา Credit Scoring Model และ Risk-based Pricing Model สำหรับผลิตภัณฑ์การค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ให้มีการประเมินความเสี่ยงของลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้การกำหนดค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขการค้ำประกันมีความสอดคล้องกับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย และพัฒนาไปสู่การพิจารณาอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อเป็นรายลูกค้า (Individual Guarantee) ในอนาคตต่อไป
พร้อมทั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 (โครงการ PGS ระยะที่ 11) เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้โครงการ PGS ระยะที่ 11 เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
2. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย (โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยฯ) ของธนาคารออมสิน พร้อมอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 4,200 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินโครงการ และมอบหมายสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจที่เข้าข่าย Reinvent Thailand (โครงการความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาคการเงิน และภาครัฐ) รวมถึงมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืน (ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3) (โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืนฯ) และโครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโยของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 7,050 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินโครงการและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
4. การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME (โครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ) และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME (โครงการสินเชื่อ Beyondฯ) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โดยการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ ในครั้งนี้ ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณรวมเดิมที่รัฐบาลชดเชยตามที่ ครม. ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 68 โดยไม่ส่งผลให้ยอดคงค้างตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ) เพิ่มขึ้น
5. โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อขยายตลาดส่งออกของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) เป็นโครงการ PSA โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล
6. รับทราบ (1) มาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของ ธอท. และ ธอส. (2) มาตรการด้านภาษี และ (3) มาตรการอื่น ๆ และมอบหมายหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
มาตรการ 7 ธนาคารรัฐให้สินเชื่อ-ค้ำประกัน
มาตรการด้านการเงินอยู่ภายใต้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ธนาคารรัฐ) ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงินรวม 267,000 ล้านบาท ประกอบด้วยมาตรการสินเชื่อวงเงิน 217,000 ล้านบาท และค้ำประกันสินเชื่อวงเงิน 50,000 ล้านบาท ดังนี้
โครงการคำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win” ของ บสย. วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 โครงการย่อย
1. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big
- กลุ่มเป้าหมาย ผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินสินเชื่อสูงกว่า 1 ล้านบาท
- วงเงินค้ำประกันโครงการ 35,000 ล้านบาท
- วงเงินค้ำประกันต่อราย ไม่เกิน 40 ล้านบาทต่อราย รวมทุกสถาบันการเงิน และการยื่นคำขอค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 200,000 บาท
- อายุการค้ำประกัน ไม่เกิน 7 ปี
- ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ร้อยละ 1.5 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ตลอดอายุการค้ำประกัน โครงการ โดยรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทน ผู้ประกอบการ SMEs ใน 3 ปีแรก
- การจ่ายค่าประกันชดเชย บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการไม่เกินค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อที่ได้รับจากผู้ประกอบการ SMEs รวมกับงบประมาณ สนับสนุนจากรัฐบาลรวมทั้งโครงการไม่เกินร้อยละ 26
- การขอรับการชดเชย บสย. ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 7,000 ล้านบาท (35,000 ล้านบาท x 20%) ประกอบด้วย 1) ชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนไม่เกิน 1,575 ล้านบาท (35,000 ล้านบาท x 1.5% x 3 ปี) 2) ชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยจำนวนไม่เกิน 5,425 ล้านบาท (35,000 ล้านบาท x 15.50%)
- ระยะเวลารับคำขอค้ำประกัน นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69 หรือจนกว่าวงเงินค้ำประกันโครงการจะหมดลง
หมายเหตุ: ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อนโยบายรัฐสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big ได้ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย (โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยฯ) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME (โครงการสินเชื่อ Beyondฯ) ของ ธพว. ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ของสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เป็นต้น
2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win
- กลุ่มเป้าหมาย ผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 1 ล้านบาท
- วงเงินค้ำประกันโครงการ 10,000 ล้านบาท
- วงเงินค้ำประกันต่อราย ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย รวมทุกสถาบันการเงิน และการยื่นคำขอค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 10,000 บาท
- อายุการค้ำประกัน ไม่เกิน 7 ปี
- ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน 1% หรือ 1.5% หรือ 2.5% ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ตลอดอายุการค้ำประกันโครงการ โดยคิดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อตามระดับความเสี่ยงของผู้ประกอบการ SMEs (Risk-based Pricing) โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อใน 3 ปีแรก และเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อกับผู้ประกอบการ SMEs ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป
- การจ่ายค่าประกันชดเชย บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการไม่เกินค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อที่ได้รับจากผู้ประกอบการ SMEs รวมกับงบประมาณสนับสนุน จากรัฐบาลรวมทั้งโครงการไม่เกิน 38% ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของผู้ประกอบการ SME
- การขอรับการชดเชย บสย. ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล สำหรับการจ่ายค่าประกันชดเชย รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 2,800 ล้านบาท (10,000 ล้านบาท x 28%)
- ระยะเวลารับคำขอค้ำประกัน นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69 หรือจนกว่าวงเงินค้ำประกันโครงการจะหมดลง
หมายเหตุ: โครงการสินเชื่อนโยบายรัฐสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่สามารถเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win ได้ เช่น โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME (โครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ) ของ ธพว. โครงการสินเชื่อคู่ใจรายย่อยของธนาคารออมสิน ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เป็นต้น
3. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG
- กลุ่มเป้าหมาย ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อหรือจัดจ้างของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจ ที่ต้องการสินเชื่อประเภทหนังสือค้ำประกัน
- วงเงินค้ำประกันโครงการ 5,000 ล้านบาท
- วงเงินค้ำประกันต่อราย ไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อราย รวมทุกสถาบันการเงิน และการยื่นคำขอ ค้ำประกันขั้นต่ำครั้งละไม่น้อยกว่า 100,000 บาท
- อายุการค้ำประกัน ไม่เกิน 7 ปี
- ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน 1% ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ตลอดอายุการค้ำประกันโครงการ โดยรัฐบาลจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนผู้ประกอบการ SMEs ใน 3 ปีแรก
- การจ่ายค่าประกันชดเชย บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการไม่เกินค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน สินเชื่อที่ได้รับจากผู้ประกอบการ SMEs รวมกับงบประมาณสนับสนุน จากรัฐบาลรวมทั้งโครงการไม่เกิน 18%
- การขอรับการชดเชย บสย. ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 700ล้านบาท (5,000 ล้านบาท x 14%) ประกอบด้วย 1) ชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนไม่เกิน 150 ล้านบาท (5,000 ล้านบาท x 1% x 3 ปี) และ 2) ชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยจำนวนไม่เกิน 550 ล้านบาทท (5,000 ล้านบาท x 11%)
- ระยะเวลารับคำขอค้ำประกัน นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69 หรือจนกว่าวงเงินค้ำประกันโครงการจะหมดลง
หมายเหตุ: ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG ได้ เช่น สินเชื่อสำหรับคู่ค้าภาครัฐและรัฐวิสาหกิจของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่น ๆ ของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เป็นต้น
นอกจากนี้ขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 (โครงการ PGS ระยะที่ 11) วงเงิน 50,000 ล้านบาท สืบเนื่องจาก ครม. มีมติ
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 67 ได้มีมติอนุมัติ ให้ บสย. ดำเนินโครงการ PGS ระยะที่ 11 วงเงินค้ำประกันรวม 50,000 ล้านบาท สิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อในวันที่ 30 ธ.ค. 68 โดน ณ วันที่ 31 ต.ค. 68 บสย. สามารถให้การค้ำประกัน สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนรวม 66,348 ราย วงเงิน ค้ำประกันสินเชื่อรวม 45,698 ล้านบาท เฉลี่ยต่อราย 0.69 ล้านบาท กระตุ้นให้เกิดสินเชื่อใหม่ในระบบ 1.22 เท่า
ทั้งนี้ยังมีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ โครงการ PGS ระยะที่ 11 คงเหลือสำหรับรองรับคำขอค้ำประกันสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ได้อีกประมาณ 4,302 ล้านบาท กระทรวงการคลัง พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้โครงการ PGS ระยะที่ 11 เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรเสนอ ครม.พิจารณาขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อ โครงการ PGS ระยะที่ 11 ไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69 สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการ PGS ระยะที่ 11 ยังคงเป็นไปตามที่มติเดิมที่ ครม. เห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 67
โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยฯ ของธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม 100,000 ล้านบาท โดยมีกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยรวม 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 โครงการย่อย
1. โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าโลก ผู้ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดน ผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว และผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้แก่ โครงการสินเชื่อกรณีเสริมสภาพคล่อง (Mitigation) มีวัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าโลก การแข่งขัน ที่รุนแรงขึ้น รวมถึงภาคท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันถูกกระทบจากการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว ผ่านการลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน การดำเนินงานโดยรวม และเสริมสภาพคล่องของธุรกิจ
- คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งกรณีเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียน ในประเทศไทย ตามนิยามของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) ต่อเศรษฐกิจไทย ยกเว้นบริษัทในหมวดธุรกิจการเงิน โดยเป็นผู้ประกอบธุรกิจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้ (1) ผู้ส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากสินค้าที่อัตราภาษีนำเข้าสูงขึ้น (2) ผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกระทบจากการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ (3) ผู้ประกอบธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว (4) ผู้ประกอบธุรกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดน (5) ผู้ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ประกอบธุรกิจ ตามข้อ (1) – (4) ที่มีการประกอบธุรกิจหลักและมียอดขาย/รายได้ เกี่ยวข้อง กับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมากกว่า 50% ของยอดขาย/รายได้รวมของตนเอง
- วงเงินโครงการ วงเงิน 30,000 ล้านบาท (ภายใต้วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท)
- อัตราดอกเบี้ย ธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ไม่เกินอัตรา 3.5% ต่อปีเป็นระยะเวลา 2 ปี ทั้งนี้ เป็นการให้สินเชื่อใหม่ แก่ลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่และสามารถโอนหนี้ (Refinance) ลูกค้าเดิมของสถาบันการเงินเดิมและโอนหนี้ (Refinance) ลูกค้าระหว่างสถาบันการเงินได้ โดยภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ โดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
- วงเงินสินเชื่อต่อราย วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 30 ล้านบาท
- ระยะเวลาดำเนินงาน ผู้ประกอบการ SMEs สามารถยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้ จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 69 หรือจนกว่าวงเงินโครงการรวมจะหมด
- เงื่อนไขอื่น ๆ ธนาคารออมสินขอแยกบัญชีโครงการเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ป(Public Service Account : PSA) โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล
2. โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ (Strategic Sector) ได้แก่ โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่การเติบโตอย่างเข้มแข็ง ผ่านการยกระดับศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
- คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ ผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ (Strategic Sector) ได้แก่ ธุรกิจเกษตรและเกษตรแปรรูป ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และธุรกิจค้าส่งค้าปลีก ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคต เศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) โดยให้ภาคเอกชน ประกอบด้วย สมาคม ธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข การขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจที่เข้าข่าย Reinvent Thailand เพิ่มเติม โดยคณะกรรมการดังกล่าวอย่างน้อยควรมีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) ประธานสมาคมธนาคารไทย ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน (2) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะตัวแทนภาครัฐ (3) ธนาคารออมสิน ในฐานะหน่วยงานที่ดำเนินโครงการ ทั้งนี้ อาจพิจารณาเพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการได้ตามความเหมาะสม
- วงเงินโครงการ วงเงิน 30,000 ล้านบาท (ภายใต้วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ หากมีวงเงินเหลือจากการดำเนินโครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation) และโครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) ธนาคารออมสินสามารถจัดสรรวงเงินที่เหลือดังกล่าว ให้แก่โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand)ได้ตามความเหมาะสม
- อัตราดอกเบี้ย ธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงิน ที่เข้าร่วมโครงการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปีเป็นระยะเวลา 5 ปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตรา ไม่เกิน 3.5% ต่อปีใน 2 ปีแรก และในอัตราไม่เกิน 5% ต่อปี ในปีที่ 3 – 5 โดยภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อ แก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
- ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้ จนถึงวันที่ 31 มี.ค. 70 หรือจนกว่าวงเงินโครงการรวมจะหมด
- กรอบวงเงินงบประมาณ ธนาคารออมสินขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล เพื่อชดเชยต้นทุนเงิน ปีที่ 3 – 5 ในอัตรา 2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้น ไม่เกิน 1,800 ล้านบาท (วงเงิน 30,000 ล้านบาท x 2% ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี)
3. โครงการสินเชื่อสำหรับธุรกิจที่มีแนวทางปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม ดิจิทัลเทคโนโลยี และนวัตกรรม ได้แก่ โครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation) มีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนการลงทุนเพื่อปรับตัวและพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ของผู้ประกอบธุรกิจไทย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของโครงสร้างเศรษฐกิจ ในภาพรวมประเทศ
- คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ ผู้ประกอบการทั้งกรณีเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน ที่ไม่ใช่บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน (เว้นแต่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ) และเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีแนวทางการปรับตัว (Transformation activities) เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจและพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต
- วงเงินโครงการ วงเงิน 30,000 ล้านบาท (ภายใต้วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ ธนาคารออมสินสามารถจัดสรรวงเงินระหว่างโครงการสินเชื่อ กรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation) และโครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) ได้ตามความเหมาะสม
- อัตราดอกเบี้ย ธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปีเป็นระยะเวลา 5 ปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตรา ไม่เกิน 3.5% ต่อปี ใน 2 ปีแรก และในอัตราไม่เกิน 5 ต่อปี ในปีที่ 3 – 5 ทั้งนี้ เป็นการให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่ ไม่ใช่ลูกหนี้ที่โอนหนี้ (Refinance) โดยภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
- วงเงินสินเชื่อต่อราย วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ตามนิยาม สสว. และไม่เกิน 150 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่
- ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้ จนถึงวันที่ 31 มี.ค. 70 หรือจนกว่าวงเงินโครงการรวมจะหมด
- กรอบวงเงินงบประมาณ ธนาคารออมสินขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล เพื่อชดเชยต้นทุนเงิน ปีที่ 3 – 5 ในอัตรา 2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,800 ล้านบาท (วงเงิน 30,000 ล้านบาท x 2% ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี)
4. โครงการสินเชื่อสำหรับธุรกิจภาคการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และผู้ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้แก่ โครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถลงทุน ขยายกิจการ ปรับปรุงสถานประกอบการ ยกระดับมาตรฐานบริการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท้องถิ่นและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
- คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ ผู้ประกอบการทั้งกรณีเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่า ร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ที่ไม่ใช่บริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย (เว้นแต่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ) และเป็นผู้ประกอบธุรกิจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้ (1) เป็นผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มธุรกิจภาคการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจให้บริการที่พักอาศัย ธุรกิจร้านอาหาร เป็นต้น (2) เป็นผู้ประกอบธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของผู้ประกอบธุรกิจตามข้อ (1) ที่มีการประกอบธุรกิจหลักและมียอดขาย/รายได้ เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมากกว่าร้อยละ 50 ของยอดขาย/รายได้รวม ของตนเอง
- วงเงินโครงการ วงเงิน 10,000 ล้านบาท (ภายใต้วงเงินโครงการรวม 100,000 ล้านบาท) ทั้งนี้ ธนาคารออมสินสามารถจัดสรรวงเงินระหว่างโครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพ ธุรกิจ (Transformation) และโครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) ได้ตามความเหมาะสม
- อัตราดอกเบี้ย ธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตราไม่เกิน 3.5% ต่อปี ใน 2 ปีแรก และในอัตราไม่เกิน 5% ต่อปี ในปีที่ 3 -5 ทั้งนี้ เป็นการให้สินเชื่อใหม่แก่ลูกค้าเดิมหรือลูกค้าใหม่ ไม่ใช่ลูกหนี้ที่โอนหนี้ (Refinance) โดยภายใต้วงเงินดังกล่าวธนาคารออมสินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการโดยตรงในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเดียวกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
- วงเงินสินเชื่อต่อราย สูงสุดต่อรายรวมทุกสถาบันการเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท สำหรับ ผู้ประกอบการ SMEs ตามนิยาม สสว. และไม่เกิน 150 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่
- ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการได้จนถึง วันที่ 31 มี.ค. 70 หรือจนกว่าวงเงินโครงการรวมจะหมด
- กรอบวงเงินงบประมาณ ธนาคารออมสินขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล เพื่อชดเชยต้นทุนเงินปีที่ 3-5 ในอัตรา 2% ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 600 ล้านบาท (วงเงิน 10,000 ล้านบาท x 2% ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี)
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกยุคใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สามารถขอรับสินเชื่อภายใต้โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยฯ ได้ โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อของธนาคารออมสินและสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
โครงการสินเชื่อสำหรับเกษตรกรของ ธ.ก.ส. วงเงินรวม 80,000 ล้านบาท กรอบวงเงินงบประมาณชดเชย 7,050 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 โครงการ
1. โครงการสินเชื่อสำหรับภาคการเกษตร เพื่อพัฒนาขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิต สร้างแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม หรือพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งน้ำ ภายใต้โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืน (ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3) (โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืนฯ) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำที่เหมาะสม สร้างรายได้ สร้างงานสร้างอาชีพ ยกระดับความเป็นอยู่และกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน พัฒนาขีดความสามารถและประสิทธิภาพการผลิต รวบรวม แปรรูป ตลาดบริการ เพื่อโอกาสในการแข่งขันรวมทั้งเพื่อให้เกิดกิจกรรมรูปแบบการเชื่อมโยงธุรกิจตลอดห่วงโซ่สินค้าเกษตรและสร้างแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม ดำเนินการตามแนวทางเศรษฐกิจ ชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model: BCG Model) ภายใต้หลักการเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
- กลุ่มเป้าหมายเกษตรกร กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และผู้ประกอบการธุรกิจ เกษตร รวมถึงลูกค้า Smart Farmer ชุมชนที่อยู่ระหว่างกระบวนการพัฒนาของ ธ.ก.ส. และกลุ่มผู้ใช้น้ำที่พัฒนาเป็นกลุ่มผู้ผลิตตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
- วงเงินโครงการ 50,000 ล้านบาท
- อัตราดอกเบี้ย ธ.ก.ส. คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลา 3 ปีแรกนับแต่วันกู้ สำหรับตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ปกติของ ธ.ก.ส.
- วงเงินสินเชื่อต่อราย วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท
- ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อ เมื่อ ครม. มีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 ก.ค. 71
- กรอบวงเงินงบประมาณ รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ในอัตรา 3.50% ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี (ไม่เกินวันที่ 31 ก.ค. 74) จำนวน 5,250 ล้านบาท (วงเงิน 50,000 ล้านบาท X อัตราดอกเบี้ย 3.50% ต่อปี X ระยะเวลา 3 ปี) โดย ธ.ก.ส. จะทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป
- เงื่อนไขอื่น ๆ (1) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPL) ที่เกิดจากโครงการนี้ ขอไม่นำมาคำนวณเพื่อประเมินผลตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ และให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีโครงการ PSA (2) การบวกกลับอัตราดอกเบี้ยที่ ธ.ก.ส. รับภาระเองเป็นรายได้ทางบัญชีสำหรับการคำนวณการจัดสรรกำไรสุทธิ ให้ ธ.ก.ส. หารือความจำเป็นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. โครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโย วงเงินสินเชื่อรวม 30,000 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจให้เติบโต เข้มแข็ง มีศักยภาพในการแข่งขันและสามารถช่วยเหลือผู้ผลิตสินค้าเกษตรและวัตถุดิบระดับต้นน้ำ รวมทั้ง ผู้มีรายได้น้อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ช่วยเสริมสภาพคล่อง สามารถขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ สร้างรายได้ตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร รวมถึงเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการยกระดับความสามารถในการดำเนินธุรกิจ สามารถลดต้นทุนการผลิตเพิ่มคุณภาพผลผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตตลอด ห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร
- กลุ่มเป้าหมาย ผู้ประกอบการ (บุคคล/นิติบุคคล)
- วงเงินโครงการ 30,000 ล้านบาท
- อัตราดอกเบี้ย ธ.ก.ส. คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตรา 2% ต่อปี ระยะเวลา 3 ปีแรกนับแต่วันกู้ สำหรับตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ยตามเกณฑ์ปกติของ ธ.ก.ส.
- วงเงินสินเชื่อต่อราย เป็นไปตามศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้
- ระยะเวลายื่นขอสินเชื่อ ตั้งแต่ ครม. มีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 ก.ค. 71
- กรอบวงเงินงบประมาณ โดยรัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. ในอัตรา 2%ต่อปีเป็นระยะเวลา 3 ปี (ไม่เกินวันที่ 31 ก.ค. 74) คิดเป็นเงินจำนวน 1,800 ล้านบาท (วงเงิน 30,000 ล้านบาท X อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี X ระยะเวลา 3 ปี) โดย ธ.ก.ส. จะทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป
- เงื่อนไขอื่น ๆ ได้แก่ (1) NPL ที่เกิดจากโครงการนี้ขอไม่นำมาคำนวณเพื่อประเมินผลตามบันทึก ข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ และให้ ธ.ก.ส. แยกบัญชีโครงการเป็นบัญชี PSA และ (2) การบวกกลับอัตราดอกเบี้ยที่ ธ.ก.ส. รับภาระเองเป็นรายได้ทางบัญชีสำหรับการคำนวณการจัดสรรกำไรสุทธิ ให้ ธ.ก.ส. หารือความจำเป็น กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ขยายเวลาโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME ของ ธพว.
การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท สืบเนื่องจาก ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 68 เห็นชอบโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทย ยังมีความไม่แน่นอนสูงและมีแนวโน้มขยายวงกว้าง รวมทั้งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้ผู้ประกอบการ SMES ในทุกประเภทธุรกิจ รวมถึงผู้ประกอบการ Micro SMEs มีความเปราะบาง มีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มขึ้น จึงทำให้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ SMEs เพิ่มขึ้น ประกอบกับรัฐบาลได้แถลงนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยวงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการสนับสนุนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ จึงขอปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
1. โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ Micro SMEs ภายใต้โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME
- คุณสมบัติผู้กู้ ปรับปรุงโดยตัดหลักเกณฑ์การกำหนดรายได้ผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ จากเดิม ผู้ประกอบการ SMES ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่อยู่ในภาคการผลิต ภาคบริการ และค้าส่งค้าปลีก ที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท เป็น ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่อยู่ในภาคการผลิต ภาคบริการ และค้าส่งค้าปลีก ทั้งนี้ ให้ ธพว. ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันปัญหาการเกิด NPL ในอนาคต
- วงเงินโครงการ ปรับลด จากเดิม 10,000 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท
- วงเงินสินเชื่อ ปรับลดต่อราย จากเดิม ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 1 ล้านบาท
- ประเภทสินเชื่อต่อราย ปรับปรุง จากเดิม เงินกู้ระยะยาว (Tem Loan) เป็น เงินกู้ระยะยาว (Tem Loan) และ/หรือเงินทุนหมุนเวียน (PN)
- ระยะเวลารับคำขอสินเชื่อ ขยายระยะเวลา จากเดิม นับตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบถึงวันที่ 30 ธ.ค. 68 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการจะหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน เป็น นับตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการจะหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน
- วงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาล ปรับลด จากเดิม รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตรา 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 900 ล้านบาท (วงเงิน 10,000 ล้านบาท x อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี) ขอรับการชดเชยนับตั้งแต่วันเบิกจ่ายสินเชื่อเป็นต้นไปโดย ธพว. จะทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป เป็น รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตรา 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 450 ล้านบาท (วงเงิน 5,000 ล้านบาท x อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี) ขอรับการชดเชยนับตั้งแต่วันเบิกจ่ายสินเชื่อเป็นต้นไป โดย ธพว. จะทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป
2. โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป ภายใต้โครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME
- คุณสมบัติผู้กู้ ปรับปรุงโดยตัดหลักเกณฑ์การกำหนดรายได้ผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อ Beyondฯ จากเดิม ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในทุกประเภทธุรกิจ ที่มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท เป็น ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในทุกประเภทธุรกิจ ทั้งนี้ให้ ธพว. ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาการเกิด NPL ในอนาคต
- วงเงินโครงการ ปรับเพิ่ม จากเดิม 10,000 ล้านบาท เป็น 15,000 ล้านบาท
- วงเงินสินเชื่อ ปรับเพิ่มต่อราย จากเดิม ไม่เกิน 15 ล้านบาท เป็น ไม่เกิน 30 ล้านบาท
- ระยะเวลารับคำขอสินเชื่อ ขยายระยะเวลา จากเดิม นับตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบถึงวันที่ 30 ธ.ค. 68 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการจะหมดแล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน เป็น นับตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69 หรือจนกว่าวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการจะหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน
- วงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาลปรับเพิ่มจากเดิม รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตรา 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 900 ล้านบาท (วงเงิน 10,000 ล้านบาท x อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี) ขอรับการชดเชยนับตั้งแต่วันเบิกจ่าย สินเชื่อเป็นต้นไป โดย ธพว. จะทำความตกลงกับlสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป เป็น รัฐบาลชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตรา 3% ต่อปีเป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,350 ล้านบาท (วงเงิน 15,000 ล้านบาท x อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี x ระยะเวลา 3 ปี) ขอรับการชดเชยนับตั้งแต่วันเบิกจ่ายสินเชื่อเป็นต้นไป โดย ธพว. จะทำความตกลง กับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีต่อไป
ทั้งนี้ สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ รวมถึงกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้ง 2 โครงการ ยังคงเป็นไป ตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 68
คุ้มครองผู้ประกอบการส่งออก
โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อขยายตลาดส่งออกสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการส่งออกไปยังตลาดใหม่ และให้การสนับสนุนเพิ่มเติมในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ของ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
1. โครงการสำหรับผู้ประกอบการส่งออกหรือผู้ประกอบการที่เริ่มต้นการส่งออก ภายใต้โครงการประกันการส่งออก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการส่งออกในกรณีไม่ได้รับชำระเงินจากผู้ซื้อในต่างประเทศ เพิ่มความมั่นใจให้กับ ผู้ประกอบการส่งออกในการขยายตลาดส่งออก และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบัน การเงินได้มากยิ่งขึ้น โดย ธสน. มีเป้าหมายให้ความคุ้มครองมูลค่าการส่งออกของไทยรวม 200,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 3 โครงการย่อยดังนี้
- โครงการ EXM for Export Expansion เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการส่งออกด้วยอัตราเบี้ยประกันพิเศษ และสามารถเลือกสัดส่วนอัตราความคุ้มครองได้ตั้งแต่ 50 – 90% ของมูลค่าความเสียหาย
- โครงการ EXM Bank Shield เพื่อคุ้มครองการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศของลูกค้าส่งออกให้กับสถาบันการเงิน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกค้าและเพิ่มความสามารถในการขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยมีอัตราความคุ้มครองสูงสุด 90% ของมูลค่าความเสียหาย
- โครงการ EXM Expand Sure สำหรับผู้ประกอบการที่เริ่มต้นการส่งออก หรือเริ่มใช้บริการประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองในกรณีผู้ซื้อในต่างประเทศไม่ชำระเงิน ค่าสินค้า มีความคุ้มครองเบื้องต้น 300,000 บาท โดยผู้ประกอบการสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้วงเงินคุ้มครองสูงสุด ต่อรายไม่เกิน 30 ล้านบาท กรณีที่ใช้ร่วมกับโครงการสินเชื่อ EXIM Expand Shield
2. โครงการสินเชื่อ EXM Expand Shield วงเงิน 12,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ลูกค้าปัจจุบันที่ถือกรมธรรม์ประกันการส่งออก และเพื่อสนับสนุนเงินทุนพร้อมความคุ้มครองสำหรับลูกค้ารายใหม่ ด้วยอัตราดอกเบี้ย 2.59% ทั้งนี้ สำหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ 5 กลุ่ม ภายใต้ความร่วมมือของ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ โดย ธสน. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.125%
สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการให้เป็นไปตามที่ ธสน. กำหนด ทั้งนี้ ธสน. ขอแยกบัญชีโครงการเป็นบัญชี PSA โดยไม่ขอรับงบประมาณชดเชยจากรัฐบาล โดยในส่วนของการขอนำผลขาดทุนจากการดำเนินงานโครงการนี้มาปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึก ข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ให้ ธสน. หารือความจำเป็นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สินเชื่อผู้ประกอบการมุสลิม
โครงการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการมุสลิมของ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท จำนวน 3 โครงการ ได้แก่
1. โครงการสินเชื่อ SMEs Green Earth เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมความเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการดำเนินงานทางธุรกิจด้านพลังงาน วงเงิน 500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อ ต่อรายไม่เกิน 50 ล้านบาท สำหรับลูกค้ารายเดิมอัตรากำไรร้อยละ 0 ระยะเวลา 3 เดือนและลูกค้ารายใหม่อัตรากำไร 5% ระยะเวลา 3 เดือน ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
2. โครงการสินเชื่อ Easy Halal Exporter เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาลส่งออก หรือผู้ผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ฮาลาล หรือผู้ผลิตที่ยังอยู่ระหว่างการขอเครื่องหมายรับรองฮาลาล วงเงิน 1,500 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 500 ล้านบาท อัตรากำไรเริ่มต้น 5.80% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
3. โครงการสินเชื่อ Easy Halal Biz เพื่อสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องธุรกิจให้กับผู้ประกอบการมุสลิม และผู้ประกอบการทั่วไปที่อยู่ระหว่างการขอเครื่องหมายรับรองฮาลาลวงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 200 ล้านบาท อัตรากำไรเริ่มต้น 6.30% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
สินเชื่อธุรกิจอสังหาฯ
โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
1) โครงการสินเชื่อแฟลตให้เช่าหรือบ้านเช่า เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการแฟลตให้เช่าหรือบ้านเช่า สำหรับการปลูกสร้างซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก และไถ่ถอน วงเงิน 1,000 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.50% ต่อปี รับคำขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69
2) โครงการสินเชื่อพัฒนาโครงการ Pre Finance เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการบ้านจัดสรรในภูมิภาค สำหรับปลูกสร้างอาคารและสาธารณูปโภคในโครงการวงเงิน 1,000 ล้านบาท ระยะเวลากู้ไม่เกิน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.75% ต่อปี รับคำขอสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธ.ค. 69
ยกเว้นภาษีธุรกิจใหญ่ที่หนุนเอสเอ็มอี
กรมสรรพากร มีจำนวน 2 โครงการ ได้แก่
1. โครงการพี่ช่วยน้อง โดยการเสริมสร้างระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์เชิงรุก (e-Tax Invoice & e-Withholding Tax) ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง มุ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs โดยใช้กลไก “พี่ช่วยน้อง” ที่ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีความพร้อมด้านทรัพยากรและเทคโนโลยีเป็นแกนนำในการช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน ให้สามารถปรับตัวเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยกรมสรรพากรในฐานะหน่วยงานภาครัฐ จะทำหน้าที่เป็น ผู้อำนวยความสะดวกและให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศสู่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” (Digital Economy) โดยผู้ประกอบการรายใหญ่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากรายจ่ายที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้าจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มเร็วขึ้น และสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการที่ปฏิบัติครบตามเงื่อนไข ที่กรมสรรพากรกำหนดจะได้รับการรับรองสถานะผู้ประกอบการคุณภาพด้านการปฏิบัติภาษีอิเล็กทรอนิกส์
2. โครงการปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track (เร่งรัด) โดยกรมสรรพากรได้ปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลให้มีความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดระยะเวลาการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติ โดยมีโครงการ คืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track
สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ติดเกณฑ์ความเสี่ยงของกรมสรรพากรผ่านระบบการโอนเงินแบบพร้อมเพย์ (PromptPay) เพื่อเป็นโครงการนำร่อง (Sandbox) ในการพัฒนาระบบคืนภาษีที่ทันสมัย โปร่งใส และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลด้านดิจิทัล ซึ่งการคืนภาษีที่รวดเร็วขึ้นจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถนำเงินไปใช้เป็น ทุนหมุนเวียนในกิจการ การชำระหนี้ หรือการลงทุนขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการนำระบบ PromptBiz (ระบบชำระเงินของภาคธุรกิจที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลการค้า) มาเป็นหนึ่งในปัจจัยเพื่อใช้ในการพิจารณาคืนภาษีให้มีความรวดเร็วขึ้นในอนาคต
ปี 69 เก็บภาษีสินค้านำเข้ามูลค่าตั้งแต่ 1 บาท
มาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value : DMV) โดยกรมศุลกากรมีมาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value: DMV) โดยก่อนหน้านี้กรมศุลกากรกำหนด DMV ที่ผู้ซื้อสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท จะได้รับการยกเว้นทั้งอากรศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต และต่อมาเมื่อ ก.ค. 67 กรมศุลกากรได้ปรับเกณฑ์ DMV โดยได้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้านำเข้าที่มีราคาตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 69 เป็นต้นไป กรมศุลกากรมีแนวทางเพิ่มเติมในการเรียกเก็บอากรขาเข้าสำหรับ สินค้านำเข้าที่มีราคาตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยในประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่เสียภาษีถูกต้องให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้
ให้สินเชื่อคู่ค้าภาครัฐ
กรมบัญชีกลาง มีจำนวน 2 โครงการ
1. มาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐ โดยการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งปัจจุบัน กระทรวงการคลัง ทดลองให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government Procurement : e-GP) และข้อมูลการเบิกจ่ายเงินจากระบบ New GFMIS Thai กับการให้บริการสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย ตั้งแต่วันที่ 13 ส.ค. 68 เป็นต้นมา โดยธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคาร Sponsor Bank (สถาบันการเงินที่ให้บริการเชื่อมต่อระบบ) สามารถนำข้อมูลดังกล่าวประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการแล้ว
ปัจจุบันสมาคมธนาคารไทย ร่วมกับบริษัท เนชันแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (NITMX) อยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อขยายการเชื่อมโยงผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งเป็นระบบกลางในการเชื่อมโยงกับธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ให้ทุกธนาคารสามารถเชื่อมโยง ข้อมูลได้ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค. 69 โดยมีเป้าหมายในการสนับสนุนให้คู่สัญญากับภาครัฐที่เป็นผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 73,500 ราย ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกรวดเร็วทันต่อความต้องการการใช้เงินทุน
ประกอบกับจะมีการโอนสิทธิการรับเงินให้กับธนาคารหรือบุคคลที่ 3 เนื่องจากพบว่าการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ธนาคารผู้ให้สินเชื่อยังไม่มีความมั่นใจว่าจะได้รับเงินคืนตามสัญญา ดังนั้น กรมบัญชีกลาง ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคาร Sponsor Bank สมาคมธนาคารไทย และ NITMX ในฐานะผู้พัฒนาระบบ PromptBiz ได้มีการประชุมเพื่อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการโอนสิทธิการรับเงินของคู่ค้าภาครัฐให้กับธนาคารผู้ให้สินเชื่อ โดยจะมีการจัดทำสัญญา “โอนสิทธิรับเงิน” และส่งข้อมูลผ่านระบบ PromptBiz มายังระบบ New GFMIS Thai เพื่อตรวจสอบ ยืนยันเลขที่โครงการ เลขคุมสัญญา และระบุบัญชีธนาคารของผู้รับโอนสิทธิ ทั้งนี้ เมื่อหน่วยงานของรัฐขอเบิกเงินผ่านระบบ New GFMIS Thai จึงมั่นใจได้ว่าเงินจะเข้าบัญชีของธนาคารผู้ให้สินเชื่อเท่านั้น
2. แนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กรมบัญชีกลางมีแนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพิ่มเติม โดยกำหนดให้มีการให้แต้มต่อทางด้านราคาเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ SMES ที่ได้รับการรับรองจาก สสว. อีก 5% สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายรับไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปีบัญชี และได้รับอนุมัติให้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ จากระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร สำหรับ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 69 – 30 ก.ย. 70
ทั้งนี้ ให้ สสว. ทบทวน หลักเกณฑ์การพิจารณาการรับรองความเป็นผู้ประกอบการ SMEs ให้เหมาะสมโดยให้พิจารณาถึงความเชื่อมโยงของกลุ่มบริษัททั้งในมิติของการควบคุมและการถือหุ้น แทนการพิจารณาเป็นรายบริษัทและให้กรมบัญชีกลางพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้สิทธิประโยชน์ให้เหมาะสมเพื่อนำเสนอคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อไป
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้อย่างเป็นธรรมและยังช่วยยกระดับความสมัครใจในการเสียภาษี (Tax Compliance) อีกทางหนึ่ง
จ่อตั้งแพลตฟอร์มขายของออนไลน์คนไทย
กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างพิจารณากำหนดแนวทางให้ประเทศไทยมี E-commerce Platfor หรือ แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ ที่เป็นของคนไทยเอง เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน เศรษฐกิจของประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรายได้ของผู้ประกอบการไทยตั้งแต่ผู้ประกอบการ SMEs จนถึงเกษตรกร ทั้งนี้ E-commerce Platform ที่ผู้ประกอบการไทยใช้เป็นหลักในปัจจุบันเป็นของ ต่างชาติ ซึ่งกำหนดค่าบริการในอัตราที่สูง ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงในส่วนนี้ ดังนั้น
รัฐค้างจ่ายชดเชยพุ่ง 1.11 ล้านล้านบาท
สำหรับภาระที่รัฐต้องรับชดเชยตาม มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ มียอดคงค้าง ณ สิ้นวันที่ 14 พ.ย. 68 จำนวน 1,080,123 ล้านบาท ดังนั้น หากมีการดำเนินมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย ซึ่งต้องใช้วงเงินตาม มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ รวมจำนวน 21,750 ล้านบาท แบ่งเป็น
- โครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win”ของ บสย. จำนวน 10,500 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อพลิกฟื้นธุรกิจไทยๆ ของธนาคารออมสินจำนวน 4,200 ล้านบาท
- โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืนฯ และโครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโยของ ธ.ก.ส.จำนวน 7,050 ล้านบาท
เมื่อรวมกับโครงการอื่นที่อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อเสนอ ครม. ด้วยแล้ว จะทำให้ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 1,112,679 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรา 29.43% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งยังคงไม่เกินอัตรา 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนด อัตราชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินกิจกรรม มาตรการหรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 พ.ศ. 2565
อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงวงเงินการขอรับชดเชยจากรัฐบาลของโครงการสินเชื่อปลุกพลังฯ และโครงการสินเชื่อ Beyondฯ เป็นการปรับปรุงวงเงินภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณรวมเดิมที่ ครม. ได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 68 โดยไม่ส่งผลให้ยอดคงค้างตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บสย. ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธพว. ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ จะต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนิน กิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อ ครม. และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสี่ออิเล็กทรอนิกส์ตามนัยบทบัญญัติมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ต่อไป
คาดช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 0.36% ปี 69
มาตรการ “Quick Big Win” เพื่อ SMEs ไทย จะเป็นการช่วย
1. การเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะผู้ประกอบการ Micro SME ผู้ประกอบการ SMEs ภาคเกษตร และผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศผ่านมาตรการด้านการเงินโดยดำเนินโครงการสินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการดังกล่าวสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ
2. การเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยกระทรวงการคลัง ได้มีการดำเนินมาตรการด้านภาษี เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการปรับตัวของธุรกิจ สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้รวมไปถึงการจูงใจให้ผู้ประกอบการ SMEs พัฒนาทักษะทางดิจิทัลเพื่อมุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ “เศรษฐกิจดิจิทัล” (Digital Economy)
3. การสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ผ่านมาตรการให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อื่น ๆ เช่น มาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐ เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องได้มากขึ้น โดยการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นคู่ค้าภาครัฐพร้อมสร้างแต้มต่อด้านราคาเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบการ SMEs เป็นต้น ซึ่งจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจภาพรวมผ่านการสร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นการลงทุน รวมถึงการเป็นห่วงโซ่อุปทานทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่สมดุลและเป็นแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
การดำเนินมาตรการด้านการเงินผ่านโครงการสินเชื่อและค้ำประกันสินเชื่อนั้น กระทรวงการคลังคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบจำนวนกว่า 270,000 ล้านบาท สามารถ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อได้จำนวนกว่า 107,000 ราย และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มขึ้นในปี 69 ที่ 0.36%
บทความที่เกี่ยวข้อง:




