ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ ยกระดับมาตรการเชิงป้องกันไม่ให้ลูกค้าของธนาคารโดนหลอกโอนเงิน โดยจะกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและจำกัดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เกณฑ์กำหนดวงเงินโอน
มาตรการที่เพิ่มเติมดังกล่าว ธนาคารพาณิชย์ จะกำหนดวงเงินโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า เริ่มตั้งแต่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน (ไซต์ S) ไม่เกิน 200,000 บาทต่อวัน (ไซต์ M) และมากกว่า 200,000 บาทต่อวัน (ไซต์ L)
ข้อมูลที่ธนาครใช้พิจารณา เช่น ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรมที่เข้าข่ายมิจฉาชีพ จำนวนเงินโอนเข้า-ออก ประวัติการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของธนาคาร และจำนวนสินทรัพย์ของลูกค้า
ลูกค้าของแต่ละธนาคารจะถูกจัดเป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มเสี่ยงต้องสงสัย จะถูกจำกัดวงเงินให้โอนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน
- กลุ่มทั่วไปและรู้จักดี (ธนาคารประเมินจากข้อมูลที่มี) หากมีประวัติการใช้ผลิตภัณฑ์ของธนาคาร ก็จะถูกจำกัดวงเงินให้โอนได้ไม่เกิน 200,000 ต่อวัน และจะทยอยถูกปลดให้โอนได้มากกว่านั้น
- กลุ่มเปราะบาง คือ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี กับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป หากใช้จ่ายต่อวันจำนวนไม่มากก็ถูกจำกัดวงเงินโอนเริ่มต้นไม่เกิน 50,000 บาทก่อน
ลูกค้าสามารถขอปรับเพิ่มวงเงินกับธนาคารได้ โดยแจ้งกับธนาคาร เพื่อให้ประเมินข้อมูลของลูกค้า ซึ่งอาจจะมีการขอข้อมูลที่จำเป็นประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม
หากต้องการเพิ่มวงเงินแบบชั่วคราวให้สามารถโอนเงินได้จำนวนที่สูงกว่ากำหนด ให้ติดต่อกับธนาคาร เพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ และธนาคารจะพิจารณา ก่อนแจ้งผลลูกค้าภายในระยะเวลาตามที่ธนาคารกำหนด
ขณะที่ช่องทางติดต่อธนาคารเพื่อปรับวงเงิน สามารถทำได้ที่สาขา หรือโมบายแบงก์กิ้ง (Mobile Banking) ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะไม่เหมือนกันทุกธนาคาร ขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารความเสี่ยงของแต่ธนาคาร
มาตรการใหม่นี้ จะเริ่มทยอยปรับใช้กับลูกค้าใหม่ที่เพิ่งสมัครโมบายแบงก์กิ้ง (Mobile Banking) ภายในสิ้นเดือน ส.ค. 68 และลูกค้าปัจจุบันจะเริ่มภายในสิ้นปี 68 โดยจะมีผลกับธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งและธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ยกเว้นสหกรณ์
อย่างไรก็ตาม ธปท. หวังว่ามาตรการที่เพิ่มเติมมานี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกค้าจะถูกหลอกโอนเงินได้มากขึ้น แต่คงไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด 100% ดังนั้นลูกค้าก็ต้องป้องกันและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้วยตนเองไปพร้อมกันด้วย
คนไทยโดนหลอกโอนเงินหยุด
ที่ผ่านมาคนไทยถูกมิจฉาชีพหลอกให้โอนและดูดเงินจนเกิดความเสียหายจำนวนมาก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกระดับมาตรการป้องกันผ่านกลไกลของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 68 สามารถป้องกันไม่ให้ลูกค้าถูกแอปพลิเคชันดูดเงินออกไปได้ แต่ปัจจุบันยังคงมีลูกค้าถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินอย่างต่อเนื่อง
ในเดือน มิ.ย. 68 มีผู้เสียหายถูกหลอกโอนเงินจำนวน 24,500 เคส มูลค่าความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท และพบว่ามียอดโอนสูงสุดถึง 4.9 ล้านบาทต่อครั้ง ซึ่งมิจฉาชีพสามารถหลอกเงินของผู้เสียหายแต่ละเคสได้ภายใน 3 นาที คิดเป็น 50% ของความเสียหาย และกว่าผู้เสียหายจะรู้ตัวว่าโดนหลอกจนแจ้งกับเจ้าหน้าที่ก็ใช้ระยะเวลานานถึง 19-25 ชั่วโมง
ค่าเฉลี่ยความเสียหายตามช่วงอายุจากข้อมูลตั้งแต่ 1 มิ.ย.65 – 30 มิ.ย. 68 พบว่าเด็กและผู้สูงอายุมักจะตกเป็นหมายของมิจฉาชีพมากสุด ดังนี้ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มีจำนวน 1,056 เคส มูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 78,468 บาท และผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป มีจำนวน 41,557 เคส มูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 416,453 บาท
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ธปท. จึงต้องกำหนดวงเงินการโอนหรือชำระเงินต่อวันของให้เหมาะสมกับการใช้งานของลูกค้า เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพโอนเงินออกจากบัญชีได้จำนวนมาก รวมถึงสามารถปกป้องเด็กและผู้สูงอายุไม่ให้ตกเป็นเหยื่อได้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: