คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (พ.ร.ก.ไซเบอร์) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอ
สาระสำคัญ คือ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ โดยจะเพิ่มหน้าที่ให้หน่วยงานของรัฐหรือผู้ให้บริการหมายโทรศัพท์ในการสั่งระงับ หรือยกเลิกการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ถูกใช้หรืออาจถูกใช้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกำหนดขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะเพื่อให้การคืนเงินแก่ผู้เสียหายให้เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล
เนื่องจาก พ.ร.ก.ไซเบอร์ พ.ศ. 2566 ฉบับปัจจุบัน มีเป้าหมายแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น แต่ที่ผ่านพบว่ามาตรการบังคับทางกฎหมายยังไม่เพียงพอกับรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ได้มีการพัฒนาขึ้นของกลุ่มมิจฉาชีพ จึงต้องเร่งพัฒนาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายปัจจุบันให้ทันสมัย เหมาะสม และครอบคลุมกับสถานการณ์ในยุคดิจิทัลที่อาชญากรรมทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การเร่งคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย การอายัดบัญชีม้า การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสถาบันการเงินและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ และมาตรการการโอนเงินผิดกฎหมายผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.ไซเบอร์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่จะบังคับใช้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อการติดตามควบคุม และบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ลดปัญหาสังคม และผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจรอดำเนินการได้ตามวิธีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายปกติ รวมถึงอาจมีกระบวนการและขั้นตอนที่ทำให้ประชาชนได้รับการเยียวยาความเสียหายออกไป จึงต้องเร่งให้มีมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่ออุดช่องว่างที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกมิจฉาชีพทางออนไลน์หลอกลวงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ปัจจุบันการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีพบว่า ประเทศไทยมีคดีด้านการฉ้อโกงออนไลน์ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพิ่มปริมาณการกระทำความผิดและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประชาชนจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวง โดยการส่งข้อความหลอกลวงต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์หลอกลวง เช่น หลอกให้กลัวโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐ หลอกให้ทำงานออนไลน์ หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน และการหลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้ง ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การใช้วิธีโทรหลอกลวงที่นับวันมีการพัฒนาวิธีการ รูปแบบการหลอกลวงแบบใหม่ ส่งผลเสียหายต่อประชาชน เศรษฐกิจและสังคมเป็นวงกว้าง
จากข้อมูลสถิติการฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ปรากฏว่า มีประชาชนถูกหลอกลวงได้รับความเดือดร้อนและสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก โดยจากสถิติในช่วงประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุ.ค. 2566 – พ.ย. 2567 มีจำนวนคดีออนไลน์รวม 402,542 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 42,662 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่การกระทำความผิดดังกล่าวจะขยายตัวและแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว อันก่อให้เกิดผลร้ายและเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ สมควรกำหนดมาตรการทางกฎหมายที่เป็นการเร่งการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประกอบกับปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร่งด่วนและเรื่องดังกล่าวเป็นอาชญากรรมที่ทำต่อประชาชนทั่วไป อันเป็นเรื่องความปลอดภัยสาธารณะสร้างความเสียหายแก่ประชาชนจำนวนมาก และเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
อีกทั้ง มิจฉาชีพได้มีการพัฒนาและปรับปรุงรูปแบบการฉ้อโกงอยู่เสมอเพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันและปราบปรามของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศให้ทันต่อสถานการณ์ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราเป็นพระราชกำหนดขึ้น ตามมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ ฉบับใหม่ ได้เพิ่มเติมมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ ดังนี้
1.เพิ่มหน้าที่ให้สำนักงาน กสทช. หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีหน้าที่สั่งระงับการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือเป็นการชั่วคราว เมื่อพบเหตุอันควรสงสัยเอง หรือได้รับข้อมูลว่ามีเลขหมายโทรศัพท์มือถือต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (การระงับซิมม้าหรือซิมที่ต้องสงสัยในการกระทำความผิด)
2.ห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Lending (P2P) โดยห้ามให้บริการหรือแสดงว่าพร้อมจะให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ที่มิได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการอุปโภคบริโภค (การซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างผิดกฎหมาย) และให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ปฏิเสธการเปิดบัญชีและระงับการให้บริการหรือการทำธุรกรรมกับลูกค้าที่มีรายชื่อหรือใช้กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ลดปัญหาการฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล)
3.กำหนดขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะให้คณะกรรมการธุรกรรมเพื่อคืนเงินแก่ผู้เสียหาย โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการธุรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้พิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายโดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อพิจารณามีคำสั่งถึงที่สุดก่อน อันเป็นการทำให้ขั้นตอนกระบวนพิจารณาการคืนเงินแก่ผู้เสียหายเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น
4.เพิ่มเติมบทกำหนดโทษสำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในกรณีดังต่อไปนี้ เช่น กำหนดโทษสำหรับผู้ให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัล และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่นำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดออนไลน์มาฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับกำหนดโทษสำหรับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกินหนึ่ง100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกันได้กำหนดโทษสำหรับผู้ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือสื่อสังคมออนไลน์ มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
เลขาธิการกฤษฎีกา คาดว่า พ.ร.ก.ไซเบอร์ ฉบับใหม่ จะประกาศบังคับใช้ในเดือน ก.พ.2568 โดยหลังจากที่ ครม.อนุมัติหลักการแล้ว จะถูกส่งไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเพื่อปรับรูปแบบ โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานไปประกอบพิจารณา จากนั้นจะส่งร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ ให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน
รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. สนับสนุนหลักการของร่าง พ.ร.ก. ดังกล่าว และได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความเห็นเพื่อปรับร่าง พ.ร.ก. ให้สามารถนำมาใช้ในการยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการกำหนดกลไกที่ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องต้องร่วมรับผิดชอบและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นหากละเลยการปฏิบัติตามมาตรฐานที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนด
ในส่วนของ ธปท. จะมีการประกาศกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบที่สถาบันการเงินพึงปฏิบัติให้ชัดเจน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับผู้ให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องภายใต้ พ.ร.ก. ฉบับนี้และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป