ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทำกฎหมาย พระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (พ.ร.ฎ. เช่าซื้อลีสซิ่งฯ) ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568 โดยมีการประกาศลงในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 68
ธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลิสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นธุรกิจทางการเงินประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อที่เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับประชาชน เดิมธุรกิจเหล่านี้อยู่ภายใต้กำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แต่ปัจจุบันธุรกิจดังกล่างวมีการให้บริการประชาชนในวงกว้าง มีอัตราการขยายตัวสูง มีปริมาณธุรกรรม ณ เดือน ธ.ค. 67 สูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท หรือ 10% ของหนี้ครัวเรือน ซึ่งมีผลต่อระบบเศรษฐกิจและระดับหนี้ครัวเรือนในภาพรวมของประเทศไทย
อีกทั้งมีการร้องเรียนจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้บริการในธุรกิจดังกล่าวมากขึ้น เช่น การให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไม่สอดคล้องกับรายได้ ปัญหาค่าธรรมเนียม และปัญหายอดหนี้ จึงมีความจำเป็นต้องตรากฎหมาย พ.ร.ฎ. เช่าซื้อลีสซิ่งฯ เพื่อให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลเป็นการเฉพาะ
ผู้บริโภคได้อะไรจาก พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ
หลังจาก พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ มีผลบังคับใช้ ประชาชนจะได้รับบริการทางการเงินที่เป็นธรรมจากธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยไม่ถูกหลอก ถูกบังคับ ถูกรบกวน หรือถูกเอาเปรียบ ได้รับการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสเพียงพอต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการ สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินด้วยราคาที่เหมาะสม
โดย ธปท. จะควบคุมธุรกิจเหล่านี้ ผ่านการออกหลักเกณฑ์ กำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) เช่น การโฆษณา การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชาระหนี้ การให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market conduct) เช่น กระบวนการขายผลิตภัณฑ์ การดูแลข้อมูลลูกค้า การแก้ไขและจัดการเรื่องร้องเรียน
พีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธปท. ระบุว่า ปกติการกำหนดอันตราดอกเบี้ยของธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ อยู่ภายใต้การดูแลของ สคบ. จะมีการทบทวนทุก 3 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และจะครบกำหนดเวลาทบทวนในเดือน ต.ค. นี้
คาดว่าการกำหนดอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่จะอยู่ภายใต้การดูแลของ ธปท. และจะมีการหารือกับ สคบ. ซึ่งต้องรอข้อมูลที่ครบถ้วน รวมถึงหารือกับผู้ประกอบธุรกิจ และดูสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยหลักการพิจารณาอัตราดอกเบี้ย ต้องดูต้นทุนไม่ให้สูงเกินสมควร ดูเรื่องความเสี่ยง และต้องไม่เป็นภาระให้กับประชาชนมากเกินไป
2 ธ.ค.68 เริ่มคุมธุรกิจลีสซิ่ง
ธปท.มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการแจ้งเปลี่ยนแปลงและการขอผ่อนผันเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ การตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจ ทั้งกิจการ สินทรัพย์ หนี้สิน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งสามารถสั่งให้แก้ไขการดำเนินงานในกรณีที่ธุรกิจไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.ฎ.เช่าซื้อลีสซิ่งฯ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรม หรือเอาเปรียบลูกค้า จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
สำหรับหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จะต้องรายงานตัวกับธปท. ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจและการคุ้มครองผู้บริโภค และรายงานข้อมูลที่จำเป็น ทั้งนี้จะมีบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม หรือฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ เช่น โทษปรับ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นต้น
ถาม-ตอบ: ธปท.คุมอะไรในธุรกิจเช่าซื้อลีสซิ่งฯ
พ.ร.ฎ.ฯ บังคับใช้กับบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงินด้วยหรือไม่ ?
บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงินที่ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีลักษณะธุรกิจตามที่กำหนดใน พ.ร.ฎ.ฯ ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.ฎ.ฯ รวมทั้งยังต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลโครงสร้างและขอบเขตธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงินเช่นเดิม
ผู้ประกอบธุรกิจประเภทบุคคลธรรมดาจะถูกกำกับดูแลภายใต้ พ.ร.ฎ.ฯ หรือไม่ ?
ไม่อยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.ฎ.ฯ และผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดาที่ให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นการส่วนตัว ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ สคบ. ด้วย
ธุรกิจประเภทใดบ้างที่จะถูกกำกับดูแลภายใต้ พ.ร.ฎ.ฯ ?
1. การให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์
2. การให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ที่เป็นสัญญาเช่าการเงิน (financial lease)
ข้อมูลเพิ่มเติม
- ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
- พ.ร.ฎ.ฯ ไม่ได้จำกัดวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ในรถ ดังนั้น จึงสามารถใช้รถเพื่อการส่วนตัว หรือเพื่อการค้าหรือธุรกิจ
ถ้าธุรกิจส่วนใหญ่ให้เช่าแบบลีสซิ่งเครื่องจักร หรือให้ลีสซิ่งแบบ operating lease โดยมีเพียงส่วนน้อยที่ทำลีสซิ่งรถยนต์ จะต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.ฎ.ฯ หรือไม่ ?
นิติบุคคลที่ให้บริการเช่าซื้อและให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นทางค้าปกติทุกรายต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.ฎ.ฯ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. ดังนั้น แม้บริษัททำเพียงส่วนน้อย ยังต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.ฎ.ฯ ด้วย
หน่วยงานใดบ้างที่มีอำนาจกำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งตาม พ.ร.ฎ.ฯ ?
พ.ร.ฎ.ฯ ให้อำนาจ ธปท. เป็นผู้กำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในส่วนที่ยังไม่มีผู้กำกับดูแลเป็นการเฉพาะ ใน 2 ด้านหลัก คือ 1. ด้านเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน และ 2. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค
โดย ธปท. จะร่วมกับ สคบ. กำหนดมาตรฐานและหลักเกณฑ์กำกับดูแลในส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความเหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อน และไม่ขัดหรือแย้งกัน
ธปท. มีแนวทางการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจแต่ละขนาด และรูปแบบธุรกิจ (business model) ที่แตกต่างกัน อย่างไร ?
ธปท. จะกำหนดหลักเกณฑ์โดยพิจารณาตามความเสี่ยงของผู้ประกอบธุรกิจ (risk proportionate) เป็นหลัก แต่ยังคงไว้ซึ่งหลักการของการกำกับดูแล โดยเน้นคุ้มครองผู้ใช้บริการรายย่อย และขณะเดียวกันจะให้เวลาผู้ประกอบธุรกิจได้ปรับตัวอย่างเพียงพอ
ในช่วงระหว่าง พ.ร.ฎ.ฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้ (ช่วง 180 วัน) ผู้ประกอบธุรกิจต้องทำอะไรบ้าง ?
ให้ติดตามข่าวสารผ่านเว็บไซด์ ธปท. โดย ธปท. จะประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจทราบแนวทางการปฏิบัติตัวอย่างต่อเนื่อง
ธปท. จะจัดทำร่างประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยจะจัด focus group รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสาธารณชน เพื่อให้มั่นใจว่าหลักเกณฑ์จะมีความเหมาะสม เพียงพอต่อการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค โดยไม่เป็นภาระต่อผู้ประกอบธุรกิจเกินสมควร
ผู้ประกอบธุรกิจสามารถศึกษารายละเอียดของหลักเกณฑ์การกำกับดูแล รวมถึงเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตาม พ.ร.ฎ.ฯ และประกาศ ธปท. ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ผู้ประกอบธุรกิจทั้งรายเดิมและรายใหม่จะต้องยื่นขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจเพิ่มเติมกับ ธปท. หรือไม่ ?
ไม่ต้องยื่นขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์กับ ธปท.
แต่ผู้ประกอบธุรกิจทั้งรายเดิมและรายใหม่มีหน้าที่ต้องรายงานตัวต่อ ธปท. โดยมีรายละเอียดตามที่ ธปท. จะกำหนดต่อไป
ผู้ประกอบธุรกิจต้องปฏิบัติอย่างไร เมื่อ พ.ร.ฎ.ฯ มีผลบังคับใช้ ?
ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับของ พ.ร.ฎ.ฯ นี้มีหน้าที่ต้องดำเนินธุรกิจตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนด ดังนี้
1. รายงานตัว โดย ธปท. จะแจ้งรายละเอียดและขั้นตอนการรายงานตัวต่อไป
2. ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
3. รายงานข้อมูลการประกอบธุรกิจต่อ ธปท. โดยมีรายละเอียดและระยะเวลาตามที่ ธปท. กำหนด
ทั้งนี้ ธปท. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน (public hearing) ต่อร่างหลักเกณฑ์ข้างต้นก่อน พ.ร.ฎ. มีผลบังคับใช้
หาก พ.ร.ฎ.ฯ มีผลบังคับใช้ และผู้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม หรือมีการดำเนินการที่ขัดต่อ พ.ร.ฎ.ฯ จะมีบทกำหนดโทษอย่างไร ?
พ.ร.ฎ.ฯ กำหนดบทกำหนดโทษแบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่
1. บทกำหนดโทษกรณีผู้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.ฎ.ฯ หรือหลักเกณฑ์ที่กำหนดตาม พ.ร.ฎ.ฯ รวมถึงกรรมการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือบุคคลใดที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของผู้ประกอบธุรกิจ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตาม พ.ร.ฎ.ฯ
2. บทกำหนดโทษกรณีอื่น ๆ เช่น กรณีผู้ใดให้ถ้อยคำ อันเป็นเท็จต่อผู้ตรวจการ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ตรวจการ
โดยทั้ง 2 กรณีข้างต้นมีบทกำหนดโทษครอบคลุมทั้งโทษจำคุก โทษปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
อ่านเนื้อหาอื่น