สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 2 ปี 2567 (เม.ย.- มิ.ย. 2567) หดตัว 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 เนื่องจากในไตรมาส 2 ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้ปริมาณฝนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา สภาพอากาศร้อนจัดและแห้งแล้ง
สภาพอากาศดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของพืช เกษตรกรบางส่วนงดหรือปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก ส่งผลให้สาขาพืช ซึ่งเป็นสาขาการผลิตหลักยังคงหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ทำให้สาขาบริการทางการเกษตรหดตัวตามไปด้วย
ขณะที่สาขาประมงหดตัวเช่นเดียวกัน เนื่องจากการลดหรือชะลอการเลี้ยงจากภาวะต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่สาขาปศุสัตว์และสาขาป่าไม้ ยังขยายตัวได้ สำหรับรายละเอียดในแต่ละสาขา
สาขาพืช หดตัว 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 จากผลกระทบของเอลนีโญที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2566 มาจนถึงช่วงเม.ย. 2567 ทำให้มีปริมาณฝนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำสำคัญและแหล่งน้ำตามธรรมชาติลดลง บางพื้นที่ประสบปัญหาสภาพอากาศร้อนจัด ทำให้พืชเจริญเติบโตช้า ให้ผลผลิตน้อยและไม่สมบูรณ์
สินค้าพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง สับปะรดปัตตาเวีย ยางพารา ลำไย และทุเรียน ดังนี้
- ข้าวนาปี ผลผลิตลดลงในทุกภูมิภาค เนื่องจากมีปริมาณฝนน้อยในช่วงเพาะปลูก เกษตรกรบางรายปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้รอบเดียว
- ข้าวนาปรัง ผลผลิตลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เกษตรกรในบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง หรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยหรือพืชผักแทน
- มันสำปะหลัง ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรยังประสบปัญหาขาดแคลนท่อนพันธุ์อย่างต่อเนื่องจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งในปี 2566 ซึ่งทำให้ต้นมันสำปะหลังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ท่อนพันธุ์ที่ดีจึงหายากและมีราคาสูง
- สับปะรดปัตตาเวีย ผลผลิตลดลง เนื่องจากในช่วงเพาะปลูกต้นสับปะรดได้รับน้ำไม่เพียงพอ ผลเจริญเติบโตช้าและมีขนาดเล็กลง
- ยางพารา ผลผลิตลดลง เนื่องจากพื้นที่ปลูกบางส่วนในภาคใต้ยังคงมีการระบาดของโรคใบร่วง ประกอบกับเกษตรกรในภาคใต้และภาคกลางบางส่วนมีการตัดโค่นต้นยางอายุมากที่ให้ผลผลิตน้อย และปรับเปลี่ยนไปปลูกไม้ผลและปาล์มน้ำมันทดแทน
- ลำไย ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรในภาคเหนือและภาคตะวันออกมีการโค่นต้นลำไยอายุมากที่ให้ผลผลิตน้อยไปปลูกพืชอื่นแทน เช่น ทุเรียน ประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อนสลับหนาว ส่งผลกระทบต่อการออกดอกและติดผลของลำไย
- ทุเรียน ผลผลิตลดลง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดและแปรปรวน รวมถึงปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ต้นทุเรียนที่กำลังจะออกดอก มีการติดดอกออกผลลดลง และผลทุเรียนบางส่วนร่วงหล่นเสียหาย
สินค้าพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน ปาล์มน้ำมัน มังคุด และเงาะ ดังนี้
- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง จูงใจให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 2 ประกอบกับปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำมีค่อนข้างน้อย ทำให้เกษตรกรงดการปลูกข้าวนาปรังและเปลี่ยนมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แทน
- อ้อยโรงงาน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงเพาะปลูกและช่วงที่ต้นอ้อยเจริญเติบโต เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงและภัยแล้ง ทำให้เกษตรกรต้องเลื่อนระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตบางส่วนมาอยู่ในไตรมาส 2 ปี 2567 เพื่อให้ต้นอ้อยมีความสมบูรณ์มากขึ้น
- ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงเดือนมี.ค. – เม.ย. 2567 มีสภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลให้ปาล์มน้ำมันเกิดภาวะสุกแดด โดยสีของผลปาล์มเป็นสีแดงส้มเหมือนสุกปกติ ประกอบกับราคาปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มลดลง ทำให้เกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตเร็วกว่าปกติ
- มังคุด ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นมังคุดมีความสมบูรณ์มากขึ้นจากการได้พักต้นสะสมอาหารในปีที่ผ่านมา ทำให้มีผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น
- เงาะ ผลผลิตเพิ่มเนื่องจากแหล่งผลิตที่สำคัญในภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดตราดมีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น
สาขาประมง หดตัว 4.6% โดยสินค้าประมงที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่
- กุ้งขาวแวนนาไม ผลผลิตลดลง เนื่องจากราคากุ้งตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เกษตรกรลดพื้นที่การเพาะเลี้ยงและชะลอการปล่อยลูกกุ้ง
- สัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือ ผลผลิตลดลง เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนและอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักของการทำประมงทะเลปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายลดรอบการออกเรือจับสัตว์น้ำ
- ปลานิลและปลาดุก มีผลผลิตลดลง เนื่องจากต้นทุนค่าอาหารปลาที่อยู่ในระดับสูง ทำให้เกษตรกรชะลอการเลี้ยง ลดปริมาณการปล่อยลูกปลา ส่งผลให้ผลผลิตลดลง
สาขาบริการทางการเกษตร หดตัว 1.0% เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง หลายพื้นที่มีน้ำไม่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของพืช ประกอบกับภาครัฐขอความร่วมมือให้ลดพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรัง เกษตรกรบางส่วนจึงปล่อยพื้นที่เพาะปลูกให้ว่าง ส่งผลให้กิจกรรมการจ้างบริการเตรียมดินและเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่สำคัญลดลง อาทิ ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง และสับปะรด
ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 0.2–1.2% เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ ภาวะเอลนีโญที่สิ้นสุดลง ทำให้มีปริมาณฝนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ประกอบกับการดำเนินนโยบายในการพัฒนาศักยภาพการผลิตและบริหารจัดการสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตร การยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับภัยพิบัติต่าง ๆ ตลอดจนการเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ข้อมูลด้านต่าง ๆ เพื่อการวางแผนและรองรับความเสี่ยง นอกจากนี้ เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการบริโภคและการส่งออก
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามเฝ้าระวัง อาทิ ความแปรปรวนของสภาพอากาศ การระบาดของโรคและแมลง รวมทั้งต้นทุนการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนปัจจัยภายนอก อาทิ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้น