จากรายงานผลกระทบข้างต้น ทีมวิจัยได้สรุปภาพรวม “ผลกระทบของการสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ต่อชายฝั่งทะเล : สิ่งที่ประชาชนควรรู้” มีรายละเอียดดังนี้
โครงการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์สองฝั่งทะเลบริเวณแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร (5,808 ไร่) และ อ่าวอ่าง จังหวัดระนอง (6,975 ไร่) ซึ่งหากเทียบเคียงกับโครงการถมทะเลขนาดใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตอย่างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี (5,257 ไร่ รวมระยะที่ 3 ที่กำลังดำเนินการ) และท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด จังหวัดระยอง (3,362 ไร่ รวมระยะที่ 3 ที่กำลังดำเนินการ) พบว่า โครงการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์ ทั้งสองฝั่งทะเลในสองจังหวัดรวมกันนั้นกินพื้นที่ใหญ่กว่าท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังประมาณ 2.4 เท่า และใหญ่กว่าท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดประมาณ 3.8 เท่า หรือหากเทียบเคียงพื้นที่กับเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น จะพบว่าพื้นที่ถมทะเลของแต่ละโครงการนั้นใหญ่กว่าเกาะหลีเป๊ะ 1.6 ถึง 3.4 เท่าตัว สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังและท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุดนั้น เป็นการถมทะเลที่ประชิดติดกับชายฝั่งในระบบนิเวศที่เป็นทราย โครงสร้างท่าเรือเชื่อมต่อกับชายฝั่งทะเลเลยโดยไม่มีสะพานข้ามทะเลไปยังท่าเรือ ซึ่งแตกต่างจากท่าเรือที่อาจเกิดขึ้นภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์ที่ถมทะเลห่างฝั่งออกไปโดยมีสะพานเชื่อม
บทเรียนในอดีต
หากมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์สิ่งที่ประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่ใช้ประโยชน์บริเวณพื้นที่ชายฝั่งและในทะเลควรรับทราบ คือ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อธรรมชาติและการใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ เพื่อเตรียมตัวและหาทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเทียบเคียงกับท่าเรือน้ำลึกอื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วบริเวณพื้นที่ชายฝั่งของไทยในอดีต คือ
1. การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำและการกัดเซาะชายฝั่ง เมื่อมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำตามธรรมชาติ เนื่องจากโครงสร้างขนาดใหญ่ของท่าเรือจะไปขวางเส้นทางการไหลของกระแสน้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้
- บางพื้นที่เกิดการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงขึ้น เนื่องจากคลื่นและกระแสน้ำตามธรรมชาติถูกเบี่ยงเบนไปทางอื่น
- บางพื้นที่อาจมีทรายสะสมมากเกินไป ทำให้ชายฝั่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่สมดุล
- หากกระแสน้ำที่เปลี่ยนแปลงทำให้หาดทรายหายไป อาจทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ทะเลต้องเผชิญกับน้ำทะเลกัดเซาะถึงที่อยู่อาศัย และอาจจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐาน
2. ผลกระทบต่อสัตว์ทะเลและอำชีพประมง ชายฝั่งของชุมพรและระนองเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลจำนวนมาก การสร้างท่าเรือน้ำลึกต้องมีการขุดลอกทะเลเพื่อทำร่องน้ำลึก ซึ่งจะทำให้ตะกอนดินฟุ้งกระจายในน้ำ และทำลายแหล่งหากินของสัตว์น้ำหลายชนิด ผลที่อาจเกิดขึ้นได้แก่
- ปริมาณสัตว์น้ำลดลง เนื่องจากแหล่งอาศัยและวางไข่ถูกทำลาย
- ชาวประมงอาจจับปลาได้น้อยลง ส่งผลต่อรายได้และวิถีชีวิตของชุมชน
- ระบบนิเวศเสียสมดุล เนื่องจากห่วงโซ่อาหารของสัตว์ทะเลเปลี่ยนแปลง
- น้ำเสียจากท่าเรือและขยะจากเรือสินค้าที่เข้ามาจอดเทียบท่า อาจทำให้น้ำทะเลบริเวณนั้นสกปรกมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้สัตว์น้ำตาย หรือทำให้คุณภาพของอาหารทะเลที่จับได้ลดลง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาว
3. มลพิษจากเรือขนาดใหญ่ เมื่อท่าเรือน้ำลึกเปิดใช้งาน เรือสินค้าขนาดใหญ่จากทั่วโลกจะเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหามลพิษ หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดี คุณภาพของสิ่งแวดล้อมทางทะเลอาจเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว:
- น้ำมันรั่วไหล ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับทะเลไทย เพราะน้ำมันเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้สัตว์ทะเลตาย และทำให้ชายหาดสกปรก
- ขยะจากเรือ โดยเฉพาะพลาสติกที่อาจถูกทิ้งลงทะเล ส่งผลให้สัตว์ทะเลจำนวนมากได้รับอันตราย
- เสียงดังจากเรือขนาดใหญ่ อาจรบกวนสัตว์น้ำที่ใช้คลื่นเสียงในการสื่อสาร เช่น โลมาและวาฬ
4. ฝุ่นควัน และเสียงดังจากการก่อสร้าง ในช่วงก่อสร้างท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ชาวบ้านอาจต้องเผชิญกับ
- ฝุ่นและควันจากการก่อสร้าง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ปัญหาทางเดินหายใจ
- เสียงดังจากเครื่องจักรที่ทำงานตลอดวัน ทำให้เกิดความรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- แรงสั่นสะเทือนจากการก่อสร้าง ซึ่งอาจกระทบต่อบ้านเรือนในพื้นที่ใกล้เคียง หากไม่มีมาตรการควบคุมฝุ่นและเสียงที่ดี อาจทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
5. กำรเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและกำรท่องเที่ยว หากมีการสร้างท่าเรือนน้ำลึก ชายหาดและธรรมชาติที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อาจถูกเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ส่งผลทำให้
- นักท่องเที่ยวลดลง เนื่องจากพื้นที่ที่เคยเป็นหาดสวยงามถูกแทนที่ด้วยท่าเรือและโกดังสินค้า
- ชาวบ้านที่เคยมีรายได้จากการท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบ เช่น ร้านอาหาร ที่พัก หรือกิจกรรมท่องเที่ยวอาจต้องปิดตัวลง
- การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจทำให้เศรษฐกิจของชุมชนที่เคยพึ่งพาการท่องเที่ยวต้องเผชิญกับความยากลำบาก
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงภาพรวมของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากบทเรียนที่เชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตจากโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ในประเทศไทย แม้ว่าท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์ คาดว่าจะไม่มีนิคมอุตสาหกรรมบริเวณท่าเทียบเรือเหมือนแหลมฉบังและมาบตาพุดก็ตาม แต่ผลกระทบที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ได้ขึ้นกับมีหรือไม่มีนิคมหรือโรงงานอุตสาหกรรม แต่เป็นผลกระทบที่อาจเกิดจากการถมทะเลสร้างท่าเทียบเรือ
ท่าเรือแหลมริ่ว ชุมพร
ท่าเทียบเรือบริเวณแหลมริ่ว มีพื้นที่ถมทะเลประมาณ 5,800 ไร่ มีโครงสร้างเขื่อนกันคลื่นท่าเทียบเรือ 2 ตัวยาว 5.4 กิโลเมตร และ 685 เมตร ระหว่างการก่อสร้างต้องขุดลอกตะกอนท้องทะเลประมาณ 130.09 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยพื้นที่ท่าเรืออยู่ห่างฝั่งใกล้กับแหลมริ่วห่างจากหน้าหาดทองโขประมาณ 2 กิโลเมตร โดยมีสะพานเชื่อมต่อจากทิศเหนือของหาดบางน้ำจืดออกไปประมาณ2.5 กิโลเมตร (รูปที่ 4-2)
องค์ประกอบของท่าเรือแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร (ที่มา: สนข, 2566)
แหลมริ่วซึ่งเป็นตำแหน่งสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอ่าวไทยนั้น อยู่บริเวณทิศเหนือของหาดบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร มีสภาพเป็นหัวแหลมยื่นออกมาจากชายฝั่ง ทิศใต้ของ
แหลมริ่ว คือหาดบางน้ำจืดความยาวประมาณ 7.8 กิโลเมตรจรดปากน้ำหลังสวน ส่วนทางทิศเหนือคืออ่าวทองโข ซึ่งเป็นหาดทรายกระเปาะเล็ก ๆ ถูกขนาบด้วยเขาสองฝั่งเหนือใต้ ถัดออกไปคือเกาะพิทักษ์เกาะที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดชุมพร สภาพชายหาดแถบนี้เป็นทรายเกือบทั้งหมดบริเวณแหลมริ่วเป็นหิน และพบพื้นที่สุสานหอยอายุกว่า 40 ล้านปี ในพื้นที่ประชิดกับตำแหน่งที่คาดว่าจะเป็นสะพานเข้าท่าเรือ
สภาพของชายฝั่งทะเลปัจจุบันบริเวณท่าเรือแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร
ผลกระทบ
งานศึกษาผลกระทบเบื้องต้นของการเกิดขึ้นของท่าเรือแหลมริ่วได้ใช้โปรแกรม DSAS และแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ GENESIS เพื่อจำลองว่าหากมีโครงสร้างสะพานเข้าท่าเรือและท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่เกิดขึ้นจริง จะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเลหาดบางน้ำจืดและอ่าวทองโข โดยการพยากรณ์แนวชายฝั่งจากปีปัจจุบัน (2567) ที่ยังไม่เกิดโครงการไปยังปีอนาคตที่โครงการระยะที่ 1 แล้วเสร็จ (2583) และเมื่อโครงการดำเนินโครงการไปแล้ว 5 ปี (2588) และ 10 ปี (2593)
จากการศึกษาผลกระทบของโครงการแลนด์บริดจ์ต่อแนวชายฝั่งบริเวณหาดบางน้ำจืดและหาดทองโขในจังหวัดชุมพร พบว่าในอนาคตแนวชายฝั่งมีแนวโน้มเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในรูปแบบของการกัดเซาะและการทับถม โดยมีสาระสำคัญดังนี้
• ปี พ.ศ. 2583
-หาดบางน้ำจืด: ในบริเวณที่มีการก่อสร้างทางเชื่อมท่าเทียบเรือ พบว่ามีทั้งพื้นที่ที่เกิดการทับถมและพื้นที่ที่เกิดการกัดเซาะอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกรณีที่
ไม่มีโครงการ พบว่าค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งอยู่ที่ 0.01 เมตร ซึ่งหมายถึงมีผลกระทบไม่มากนัก
– หาดทองโข: ส่วนใหญ่เกิดการทับถมของตะกอนทราย ระยะการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยเมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการอยู่ที่ 0.06 เมตร
• ปี พ.ศ. 2588
– หาดบางน้ำจืด: ในบริเวณที่มีการก่อสร้างทางเชื่อมท่าเทียบเรือ ยังคงมีลักษณะการทับถมและการกัดเซาะผสมกัน คล้ายกับปี 2583 แต่การเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยเทียบกับกรณีไม่มีโครงการอยู่ที่ -0.01 เมตร ซึ่งหมายถึงมีแนวโน้มเกิดการกัดเซาะเล็กน้อย
– หาดทองโข: เริ่มได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแนวชายฝั่งบริเวณทิศเหนือและทิศใต้ มีระยะการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งโดยเฉลี่ยเทียบกับกรณีไม่มีโครงการอยู่ที่ -0.17 เมตร ซึ่งหมายความว่าชายหาดสูญเสียพื้นที่ไปจากการกัดเซาะเล็กน้อย
• ปี พ.ศ. 2593
– หาดบางน้ำจืด: ยังคงพบรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่ใกล้เคียงกับปี 2588 โดยมีการทับถมและการกัดเซาะเกิดขึ้นในบริเวณที่มีการก่อสร้างทางเชื่อมท่าเทียบเรือระยะการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งเฉลี่ยเมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการอยู่ที่ -0.01 เมตร
– หาดทองโข: แนวโน้มการกัดเซาะยังคงเกิด ขึ้นอย่างต่อเนื่องในบริเวณเดิมแต่ความรุนแรงลดลงเล็กน้อยจากปี 2588 โดยมีระยะการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งเฉลี่ยอยู่ที่ -0.14 เมตร
จากการคาดการณ์ผลกระทบของโครงการในระยะยาว พบว่าผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือพฤติกรรมกัดเซาะและทับถมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากกรณีมีและไม่มีโครงการ ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนในทุกช่วงปีที่ทำการคาดการณ์กรณีหาดทองโขและหาดบางน้ำจืดนั้น เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยตลอดทั้งแนวชายหาดเมื่อวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม DSAS มีแนวโน้มทับถมมากกว่ากัดเซาะอยู่แล้วจากอดีตถึงปัจจุบัน และเมื่อคาดการณ์ไปในอนาคตด้วยแบบจำลอง GENESIS พบว่า การทับถมและกัดเซาะที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตนั้น ยังคงเกิดขึ้นต่อไป แต่ในระดับหรือปริมาณที่ลดลงอย่างมาก
เมื่อพิจารณาพื้นที่เปลี่ยนแปลงชายหาดสุทธิพบว่า ทั้งสองหาดเกิดการทับถมในทุกช่วงปีทั้งกรณีมีและไม่มีโครงการโดยหากมีโครงการ การทับถมจะน้อยลงกว่ากรณีไม่มีโครงการมากทั้งสองชายหาด
ภาพรวมของผลกระทบ
ผลจากการจำลองโครงสร้างท่าเรือและสะพานเชื่อมท่าเรือลงในตำแหน่งของชายฝั่งทะเลที่คาดว่าจะเป็นพื้นที่โครงการ โดยโครงสร้างที่จำลองผ่านแบบจำองทางคณิตศาสตร์นั้นมิได้เสมือนจริงทั้งหมดด้วยข้อจำกัดของแบบจำลองและข้อมูลที่มีอยู่ ผลกระทบที่ได้นำเสนอมาจึงเป็นเพียงบางส่วนเท่าที่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกได้เท่านั้น ยังมีผลกระทบอื่นๆที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นได้ จากการถมทะเลด้านหน้าอ่าวทองโขที่มีลักษณะเป็นอ่าวที่ค่อนข้างปิดอยู่ระหว่างหัวเขาขนาบเหนือใต้ และมีสภาพสมดุล (มีเสถียรภาพ) โดยมีประเด็นหลักๆที่น่าห่วงกังวลดังนี้
1. กำรไหลเวียนของน้ำลดลง ท่าเรือขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าอ่าว อาจเป็นอุปสรรคขวางการไหลของกระแสน้ำตามธรรมชาติ
- ปกติในอ่าวสมดุล กระแสน้ำมีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนน้ำกับทะเลเปิด แต่เมื่อมีโครงสร้างขนาดใหญ่ด้านหน้าอ่าว น้ำภายในอ่าวอาจไหลเวียนช้าลง ส่งผลให้การถ่ายเทน้ำลดลง อาจเกิด “น้ำค้าง” (Stagnant Water) ในบางจุดของอ่าว
- อุณหภูมิของน้ำในอ่าวอาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากการไหลเวียนลดลง
- ความเค็มของน้ำอาจเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน เมื่อน้ำจืดจากฝั่งระบายลงอ่าวแต่ไม่สามารถกระจายออกสู่ทะเลได้เร็ว
2. เกิดการสะสมของตะกอนในอ่าวมากขึ้น กระแสน้ำที่ไหลออกจากอ่าวอาจถูกกีดขวางโดยโครงสร้างท่าเรือ ทำให้ตะกอนที่เคยถูกพัดออกไปยังทะเลเปิด ตกสะสมภายในอ่าวมากขึ้น
- จุดที่ตะกอนตกสะสมอาจเปลี่ยนไป ทำให้เกิดการตื้นเขินในบางพื้นที่
- พื้นที่ใกล้ฝั่งของอ่าวอาจกลายเป็นโคลนตม และส่งผลต่อระบบนิเวศชายฝั่ง
- แหล่งหากินของสัตว์น้ำบางชนิดอาจถูกทำลาย
- ชาวประมงพื้นบ้านอาจประสบปัญหาเดินเรือในช่วงน้ำลง เนื่องจากร่องน้ำตื้นลง
3. ทำให้เกิดน้ำวนในอ่าว ถ้าท่าเรือมีขนาดใหญ่มาก อาจเปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสน้ำที่เคยไหลเวียนรอบอ่าว
- การกีดขวางกระแสน้ำบางส่วนอาจทำให้เกิดกระแสน้ำวนใกล้ขอบอ่าว
- อาจทำให้การเดินเรือในอ่าวยากขึ้นโดยเฉพาะเรือเล็ก
- เรือประมงอาจต้องเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ หรือเลี่ยงจุดที่มีกระแสน้ำไหลผิดปกติ
4. คุณภาพน้ำอาจแย่ลง
- หากการไหลเวียนของน้ำลดลง การกระจายตัวของสารอาหารและออกซิเจนในน้ำจะลดลง
- หากมีของเสียจากเรือที่จอดในท่าเรือ หรือมีการระบายน้ำเสียจากฝั่ง น้ำเสียอาจสะสมในอ่าว และไม่ถูกพัดออกไปสู่ทะเลเปิดอย่างมีประสิทธิภาพ
- อาจทำให้เกิด น้ำเน่าเสีย และปรากฏการณ์น้ำทะเลเขียว
- ปลาและสัตว์น้ำอาจลดจำนวนลง เนื่องจากปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง
- อาจมีการเพิ่มขึ้นของแพลงก์ตอนบางชนิดที่เป็นอันตราย (เช่น สาหร่ายพิษ)
5. การเปลี่ยนแปลงของคลื่น
• การถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ อาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบของคลื่นที่เข้าสู่อ่าว
• คลื่นอาจสะท้อนกลับจากโครงสร้างท่าเรือ และพุ่งเข้าใส่แนวชายฝั่งในจุดที่ไม่เคยได้รับผลกระทบมาก่อน
• หากเป็นพื้นที่ที่มีชุมชนริมอ่าว อาจทำให้ชายฝั่งทรุดตัวเร็วขึ้น
• หาดทรายในอ่าวอาจเปลี่ยนแปลงจากเดิม อาจเกิดหาดใหม่
ท่าเรืออ่าวอ่าง จ.ระนอง
ท่าเทียบเรือบริเวณอ่าวอ่าง อ.เมืองระนอง จ.ระนอง มีพื้นที่ถมทะเลประมาณ 6,975 ไร่ มีโครงสร้างเขื่อนกันคลื่นท่าเทียบเรือ 3 ตัวยาว 3.12 กิโลเมตร 340 เมตร และ 290 เมตร ระหว่างการก่อสร้างต้องขุดลอกตะกอนท้องทะเลประมาณ 149.50 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยพื้นที่ท่าเรืออยู่ห่างฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอ่าวอ่าง ห่างจากแหลมไผ่ ประมาณ 1 กิโลเมตร ห่างจากเกาะพยามทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 4 กิโลเมตร โดยมีสะพานเชื่อมต่อจากทิศใต้ของอ่าวอ่างออกไป
องค์ประกอบของท่าเรืออ่าวอ่าง อ.เมืองระนอง จ.ระนอง (ที่มา: สนข, 2566)
แหลมไผ่ หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าแหลมอ่าวอ่าง ซึ่งเป็นตำแหน่งสะพานเชื่อมท่าเรือน้ำลึกมีสภาพเป็นแหลมหินยื่นออกไปจากชายฝั่งทางทิศใต้ของอ่าวอ่าง ใกล้กันทางทิศเหนือในระยะ
2.3 กิโลเมตร คือเกาะสน ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในระยะ 8 กิโลเมตร คือเกาะพยาม ห่างจากแหลมไผ่ลงไปทางทิศใต้ ในระยะ 7 กิโลเมตร คือ อุทยานแห่งชาติแหลมสน สภาพชายหาดแถบนี้เป็นทรายละเอียด และโคลนปนทรายเกือบทั้งหมด ยกเว้นบริเวณแหลมและหัวเกาะต่างๆมีสภาพเป็นหินพบป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์มากด้านในอ่าวอ่างและในคลอง
สภาพของชายฝั่งทะเลปัจจุบันบริเวณท่าเรืออ่าวอ่าง อ.เมืองระนอง จ.ระนอง
ผลกระทบ
งานศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดจากท่าเทียบเรือน้ำลึกขนาดใหญ่บริเวณอ่าวอ่าง วิเคราะห์โดยการจำลองลักษณะทางกายภาพปัจจุบันของพื้นที่รอบ ๆ ตำแหน่งที่คาดว่าจะเป็นที่ตั้งของท่าเรือและสะพานเชื่อมท่าเรือลงไปในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สองมิติ (MIKE21) เพื่อศึกษาลักษณะของพลศาสตร์ชายฝั่งทะเล หรือการไหลเวียนของน้ำทะเลอันเกิดจากการขึ้นลงของน้ำทะเลตามธรรมชาติความเร็วและทิศทางลม และความลึกของท้องทะเล โดยจำลองในช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ(พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) ตะวันตกเฉียงใต้ (พฤษภาคม-ตุลาคม) และช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล (มีนาคม-เมษายน) ในช่วงน้ำเกิดน้ำตาย และน้ำขึ้นและน้ำลง รวมทั้งหมด 12 กรณีศึกษา
หลังจากได้สภาพอุทกพลศาสตร์ชายฝั่งปัจจุบันแล้ว ได้ทำการจำลองโครงสร้างท่าเทียบเรือและสะพานเชื่อมท่าเรือลงไปในแบบจำลองในตำแหน่งที่คาดว่าจะเป็นที่ตั้งของโครงการ แล้ววิเคราะห์แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปรียบเทียบผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีมีและไม่มีโครงการแสดงตัวอย่างผลการวิเคราะห์ระดับน้ำ ความเร็วของกระแสน้ำ และทิศทางของกระแสน้ำ ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ หรือช่วงปลอดมรสุมของทะเลฝั่งระนองเวลาน้ำขึ้น ในช่วงน้ำเกิด
ผลการศึกษาที่สำคัญค้นพบว่า แม้ว่าระดับน้ำทะเลก่อนและหลังการดำเนินโครงการจะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่กระแสน้ำและทิศทางการไหลของน้ำในบริเวณดังกล่าวได้รับผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจน สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
• ระดับน้ำทะเลในแต่ละช่วงมรสุม
ในช่วงน้ำขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงสุดพบในช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม ขณะที่ฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีระดับน้ำที่ใกล้เคียงกัน ส่วนในช่วงน้ำลง ระดับน้ำทะเลสูงสุดพบในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม ซึ่งสูงกว่าฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เล็กน้อยอย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาระดับน้ำก่อนและหลังการก่อสร้างโครงการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยอยู่ในช่วง -0.3 ถึง 1.1 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ในฤดูมรสุม และ0.0 ถึง 1.12 ม.รทก. ในช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม
• การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ
แม้ว่าทิศทางการไหลของกระแสน้ำจะยังคงเหมือนเดิม โดยช่วงน้ำขึ้นน้ำไหลจากทิศใต้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และช่วงน้ำลงน้ำไหลจากทิศเหนือไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ แต่พบว่าความเร็วของกระแสน้ำได้รับผลกระทบจากโครงการดังนี้
ก่อนมีโครงการ
- ฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้: 0.08 – 1.20 เมตร/วินาที
- ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ: -0.2 ถึง 1.2 เมตร/วินาที
- ช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม: -0.1 ถึง 1.3 เมตร/วินาที
หลังมีโครงการ
- – ฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้: 0.00 – 1.12 เมตร/วินาที (ลดลง)
- – ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ: -0.1 ถึง 1.3 เมตร/วินาที (เพิ่มขึ้นเล็กน้อย)
- – ช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม: -0.1 ถึง 1.3 เมตร/วินาที (เท่าเดิม)
จากข้อมูลนี้พบว่า กระแสน้ำในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีความเร็วลดลงหลังจากมีโครงการขณะที่กระแสน้ำในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกลับมีความเร็วเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากการ
เปลี่ยนแปลงของรูปแบบชายฝั่งและโครงสร้างท่าเรือที่ส่งผลต่อการไหลของน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำที่เปลี่ยนแปลงมีทั้งบริเวณที่กระแสน้ำไหลแรงขึ้นและบริเวณที่กระแสน้ำไหลช้าลงดังนี้
- บริเวณที่กระแสน้ำมีความเร็วสูงที่สุด: ระหว่างเกาะพยามกับท่าเรือ ซึ่งอาจทำให้เกิดการกัดเซาะของพื้นทะเลและตะกอนฟุ้งกระจาย ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ
- บริเวณที่กระแสน้ำมีความเร็วต่ำที่สุด: ระหว่างแหลมไผ่กับท่าเรือ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของตะกอนในบางพื้นที่ และอาจส่งผลต่อคุณภาพน้ำ รวมถึงการไหลเวียนของสารอาหารใน
ระบบนิเวศทางทะเล
• ผลกระทบต่อแหล่งทำมาหากินของชาวประมง
จากการลงสำรวจพื้นที่ภาคสนามและสอบถามชาวประมงที่ทำมาหากินบริเวณนี้พบว่าเรือประมงชนาดเล็กมีแหล่งทำมาหากินอยู่บริเวณดอนตาแพ้ว ทิศเหนือของท่าเรือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะพยามเป็นจำนวนมาก จากผลการศึกษาพบผลกระทบสำคัญอาจเกิดขึ้นคือ ความเร็วของกระแสน้ำจะลดลง (ประมาณ 25% ในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ช่วงน้ำขึ้นในช่วงน้ำตาย) และหากน้ำไหลช้าลงจะทำให้ตะกอนที่ไหลมากับน้ำตกตะกอนไวขึ้นส่งผลให้ดอนตาแพ้วอาจตื้นเขินเร็วกว่าปกติ
ส่วนในช่วงน้ำเกิดที่ระดับน้ำทะเลขึ้นลงแตกต่างกันมากกว่าปกติ ไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อกระแสน้ำบริเวณนี้มากนักแม้ว่าระดับน้ำทะเลในพื้นที่โครงการแลนด์บริดจ์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังจากการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือ แต่กระแสน้ำได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผลกระทบแตกต่างกันไปตามแต่ละฤดูกาลและแตกต่างกันไปตามพื้นที่
บริเวณสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงจนกระทบต่อการทำมาหากินของชาวประมงและควรต้องติดตามอย่างใกล้ชิดได้แก่ ช่องระหว่างแหลมไผ่กับท่าเรือ เกาะพยามกับท่าเรือ และดอนตาแพ้ว ตามผลการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้น โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อกระบวนการพัดพาตะกอน และอาจมีผลกระทบต่อแนวปะการังและการประมงในบริเวณโดยรอบ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่งเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
เปรียบเทียบผลกระทบต่อกระแสน้ำที่จะเกิดขึ้นในฝั่งระนอง กรณีไม่ก่อสร้างกับก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก
ภาพรวมของผลกระทบ
จากผลการศึกษาเป็นผลจากการจำลองโครงสร้างท่าเรือและสะพานเชื่อมท่าเรือลงในตำแหน่งของชายฝั่งทะเลที่คาดว่าจะเป็นพื้นที่โครงการ โดยโครงสร้างที่จำลองผ่านแบบจำลองทางคณิตศาสตร์นั้นมิได้เสมือนจริงทั้งหมดด้วยข้อจำกัดของแบบจำลองและข้อมูลที่มีอยู่ ผลกระทบที่ได้นำเสนอมาจึงเป็นเพียงบางส่วนเท่าที่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกได้เท่านั้น ยังมีผลกระทบอื่นๆที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นได้ จากการถมทะเลระหว่างแหลมไผ่หน้าอ่าวอ่างกับเกาะพยาม ซึ่งนับการถมทะเลที่ทับลงไปบนเส้นทางสัญจรที่สำคัญของเรือประมงขนาดเล็กในการออกไปทำมาหากิน โดยมีประเด็นหลักๆที่น่าห่วงกังวลเพิ่มเติมดังนี้
1. กรณีกระแสนน้ำไหลเร็วขึ้น ถ้าท่าเรือทำให้กระแสน้ำไหลเร็วขึ้น การประมงชายฝั่งอาจได้รับผลกระทบ ดังนี้
- จับปลาได้ยากขึ้น–กระแสน้ำแรงพัดอวนหรือเครื่องมือประมงออกไปจากจุดที่วางไว้ ทำให้จับปลาได้ลำบาก
- เรือเล็กควบคุมยาก–ชาวประมงที่ใช้เรือขนาดเล็กอาจลำบากขึ้น เพราะน้ำไหลแรงทำให้จอดเรือหรือล่องเรือยาก
- สัตว์น้ำอาจย้ายที่อยู่–ปลา ปู กุ้ง อาจว่ายหนีไปอยู่ที่ที่น้ำไม่แรง ทำให้จับได้ยากขึ้น
- น้ำขุ่นขึ้น–ตะกอนอาจถูกพัดขึ้นมาทำให้น้ำทะเลขุ่น แหล่งหากินของสัตว์น้ำอาจลดลงถ้าเป็นแบบนี้ ชาวประมงชายฝั่งอาจต้องออกไปหาปลาไกลกว่าเดิม หรือปรับเปลี่ยนวิธีทำประมง
2. กรณีที่กระแสน้ำไหลช้ำลง ถ้าท่าเรือทำให้กระแสน้ำไหลช้าลง การประมงชายฝั่งอาจได้รับผลกระทบ ดังนี้
- เกิดตะกอนสะสม–พื้นทรายใต้ทะเลอาจเปลี่ยนไป ทำให้แหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำบางชนิดลดลง
- ขยะและของเสียอาจค้างอยู่ในน้ำ–ถ้ากระแสน้ำไหลช้า ของเสียจากเรือหรือฝั่งอาจตกค้างทำให้คุณภาพน้ำแย่ลง
- บางพื้นที่อาจกลายเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ–น้ำที่นิ่งขึ้นอาจทำให้ปู กุ้ง หรือปลาบางชนิดมาอาศัยมากขึ้น
- มีตะกอนสะสมหรือมลพิษเพิ่มขึ้น-อาจทำให้สัตว์น้ำลดลง แต่บางพื้นที่อาจกลายเป็นแหล่งที่ดีสำหรับสัตว์น้ำบางชนิด
กรณีกระแสน้ำไหลช้าลงอาจส่งผลให้น้ำตื้นลงจากตะกอนที่ตกสะสม เรือประมงขนาดเล็กอาจได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปอีกดังนี้
- เข้า-ออกจากฝั่งยากขึ้น ถ้าตะกอนสะสมจนท่าเรือหรือบริเวณชายฝั่งตื้นขึ้น เรือประมงขนาดเล็กอาจติดพื้นทรายหรือโคลน โดยเฉพาะในช่วงน้ำลง เรือที่ใช้หางยาวหรือเครื่องยนต์ท้ายติดขัดได้ง่าย เพราะใบพัดอาจติดตะกอนหรือเศษซากใต้ทะเล อาจต้องรอเวลาน้ำขึ้นถึงจะออกไปทำประมงได้ ทำให้เสียเวลา
- พื้นที่หากินของสัตว์น้ำเปลี่ยนไป สัตว์น้ำบางชนิดอาจย้ายออกไปจากบริเวณที่น้ำตื้นลงชาวประมงอาจต้องออกไปทำประมงไกลขึ้น ทำให้เสียค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายมากขึ้น
- เสี่ยงต่ออุปกรณ์ประมงเสียหาย หากมีตะกอนแข็งหรือโคลนลึก อวน ลอบปู หรือเครื่องมือประมงที่ใช้วางพื้นอาจติดโคลนและใช้งานยากขึ้น หากเป็นพื้นโคลนอ่อน อาจเป็นอันตรายต่อชาวประมงที่ลงไปเดินลากอวน
- เสี่ยงต่อมลพิษจากตะกอนสะสม ตะกอนที่ตกสะสมอาจสะสมสารพิษและขยะจากเรือใหญ่หรือจากตัวท่าเรือเอง ถ้าคุณภาพน้ำแย่ลง สัตว์น้ำอาจลดลง หรือไม่ปลอดภัยในการบริโภค
3. พื้นที่ถมทะเลจากการก่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ กีดขวางการเดินทางไปของชาวประมงพื้นบ้าน
- ถ้าท่าเรือหรือพื้นที่ถมทะเลถูกสร้างในแนวเดียวกับเส้นทางที่ชาวประมงพื้นบ้านใช้เป็นประจำ ชาวประมงอาจต้องอ้อมไกลขึ้น ทำให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองค่าน้ำมัน อาจมีบางจุดที่เคยเป็นร่องน้ำตื้นที่เรือประมงขนาดเล็กใช้ได้ แต่ถูกปิดกั้นจากการถมทะเล
- เสี่ยงต่อความปลอดภัยจากเรือขนาดใหญ่ เมื่อมีท่าเรือขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น เรือสินค้าขนาดใหญ่ที่เข้าออกท่าเรืออาจส่งผลให้เกิดคลื่นจากการเดินเรือที่แรงขึ้น ชาวประมงพื้นบ้านที่ใช้เรือเล็กอาจเจอคลื่นกระแทกจากเรือใหญ่ ทำให้เดินเรือยากขึ้นหรือเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ หากไม่มีเขตห้ามเรือสินค้าผ่านใกล้พื้นที่ประมง อาจกระทบกับเครื่องมือประมง เช่น อวน หรือ ลอบ
- แหล่งหาปลาถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลง บริเวณที่ถมทะเลอาจเคยเป็น พื้นที่หากินของปลากุ้ง ปู หรือสัตว์น้ำที่ชาวประมงเคยจับได้ ถ้าพื้นที่นั้นถูกถม ชาวประมงอาจต้องไปหาปลาไกลขึ้น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น นอกจากนั้นระหว่างการถมทะเลและการขุดลอกตะกอนเพื่อก่อสร้างและบำรุงรักษาอาจทำให้ตะกอนเพิ่มขึ้นในน้ำ ส่งผลให้สัตว์น้ำบางชนิดลดลง
- ปัญหาการเดินเรือช่วงน้ำลง ถ้าถมทะเลโดยไม่ได้วางแผนเรื่องกระแสน้ำและตะกอน อาจทำให้ร่องน้ำที่เคยใช้ตื้นขึ้นในช่วงน้ำลง เรืออาจติดตม ไม่สามารถออกหาปลาได้ตลอดเวลาต้องรอเวลาน้ำขึ้น
4. ผลกระทบต่อชาวประมงพื้นบ้านจากการเดินเรือลอดใต้ตอม่อสะพาน หากมีตอม่อ สะพาน (สะพานเชื่อมระหว่างฝั่งกับท่าเรือที่ถมทะเล) บริเวณแหลมไผ่กับท่าเรือ และชาวประมงพื้นบ้านต้องเดินเรือลอดใต้สะพานเพื่อออกไปหาปลา อาจเกิดผลกระทบดังต่อไปนี้:
- ความสูงของสะพานอาจเป็นอุปสรรค ถ้าตอม่อสะพานมีช่องลอดต่ำเกินไป เรือบางลำอาจผ่านไม่ได้ในช่วงน้ำขึ้นเรือที่มีเสากระโดงสูงหรือเสาวิทยุ อาจติดสะพาน ต้องรอน้ำลงถึงจะผ่านได้ โดยในช่วงคลื่นสูงหรือน้ำทะเลหนุน อาจเสี่ยงอุบัติเหตุจากการชนสะพาน กรณีนี้ไม่น่าเป็นปัญหานักเนื่องจากเรือประมงที่ลอดผ่านพื้นที่นี้มีขนาดเล็ก
- กระแสน้ำใต้สะพานอาจเปลี่ยนไป ทำให้การเดินเรือยากขึ้น เมื่อกระแสน้ำต้องไหลผ่านช่องแคบใต้สะพาน ความเร็วอาจเพิ่มขึ้นหรือเกิดกระแสน้ำวน ถ้ากระแสน้ำไหลแรงมาก เรือเล็กอาจควบคุมได้ยาก หรือเสี่ยงถูกพัดไปชนเสาสะพาน อาจเกิด “น้ำวน” ที่ทำให้เรือเล็กเสียการทรงตัว เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
- สะพานอาจทำให้ตะกอนสะสมและทำให้น้ำตื้นลง การมีโครงสร้างสะพานในน้ำอาจทำให้เกิดการสะสมของตะกอนรอบๆ เสาสะพาน ถ้าน้ำตื้นขึ้น เรือประมงอาจติดพื้นดินช่วงน้ำลงอาจต้องขุดลอกร่องน้ำบ่อยขึ้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
- เวลากลางคืนอาจมีปัญหาด้านทัศนวิสัย ถ้าสะพานไม่มีไฟส่องสว่างที่เหมาะสม ชาวประมงที่ออกเรือตอนกลางคืนอาจ มองไม่เห็นเสาสะพานหรือช่องลอด เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเช่น เรือพุ่งชนเสาสะพานหรือเรือประมงชนกันเอง
กรณีกระแสน้ำไหลช้าลงอาจส่งผลให้น้ำตื้นลงจากตะกอนที่ตกสะสม เรือประมงขนาดเล็กอาจได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปอีกดังนี้
- เข้า-ออกจากฝั่งยากขึ้น ถ้าตะกอนสะสมจนท่าเรือหรือบริเวณชายฝั่งตื้นขึ้น เรือประมงขนาดเล็กอาจติดพื้นทรายหรือโคลน โดยเฉพาะในช่วงน้ำลง เรือที่ใช้หางยาวหรือเครื่องยนต์ท้าย
ติดขัดได้ง่าย เพราะใบพัดอาจติดตะกอนหรือเศษซากใต้ทะเล อาจต้องรอเวลาน้ำขึ้นถึงจะออกไปทำประมงได้ ทำให้เสียเวลา - พื้นที่หากินของสัตว์น้ำเปลี่ยนไป สัตว์น้ำบางชนิดอาจย้ายออกไปจากบริเวณที่น้ำตื้นลงชาวประมงอาจต้องออกไปทำประมงไกลขึ้น ทำให้เสียค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายมากขึ้น
- เสี่ยงต่ออุปกรณ์ประมงเสียหาย หากมีตะกอนแข็งหรือโคลนลึก อวน ลอบปู หรือเครื่องมือประมงที่ใช้วางพื้นอาจติดโคลนและใช้งานยากขึ้น หากเป็นพื้นโคลนอ่อน อาจเป็นอันตราย
ต่อชาวประมงที่ลงไปเดินลากอวน - เสี่ยงต่อมลพิษจากตะกอนสะสม ตะกอนที่ตกสะสมอาจสะสมสารพิษและขยะจากเรือใหญ่หรือจากตัวท่าเรือเอง ถ้าคุณภาพน้ำแย่ลง สัตว์น้ำอาจลดลง หรือไม่ปลอดภัยในการบริโภค
3. พื้นที่ถมทะเลจากการก่อสร้างท่าเรือขนำดใหญ่ กีดขวำงกำรเดินทางไปของชำวประมงพื้นบ้าน
- ถ้าท่าเรือหรือพื้นที่ถมทะเลถูกสร้างในแนวเดียวกับเส้นทางที่ชาวประมงพื้นบ้านใช้เป็นประจำ ชาวประมงอาจต้องอ้อมไกลขึ้น ทำให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองค่าน้ำมัน อาจมีบางจุด
ที่เคยเป็นร่องน้ำตื้นที่เรือประมงขนาดเล็กใช้ได้ แต่ถูกปิดกั้นจากการถมทะเล - เสี่ยงต่อความปลอดภัยจากเรือขนาดใหญ่ เมื่อมีท่าเรือขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น เรือสินค้าขนาดใหญ่ที่เข้าออกท่าเรืออาจส่งผลให้เกิดคลื่นจากการเดินเรือที่แรงขึ้น ชาวประมงพื้นบ้านที่ใช้
เรือเล็กอาจเจอคลื่นกระแทกจากเรือใหญ่ ทำให้เดินเรือยากขึ้นหรือเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหากไม่มีเขตห้ามเรือสินค้าผ่านใกล้พื้นที่ประมง อาจกระทบกับเครื่องมือประมง เช่น อวน
หรือ ลอบ - แหล่งหาปลาถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลง บริเวณที่ถมทะเลอาจเคยเป็น พื้นที่หากินของปลากุ้ง ปู หรือสัตว์น้ำที่ชาวประมงเคยจับได้ ถ้าพื้นที่นั้นถูกถม ชาวประมงอาจต้องไปหาปลา
ไกลขึ้น ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น นอกจากนั้นระหว่างการถมทะเลและการขุดลอกตะกอนเพื่อก่อสร้างและบำรุงรักษาอาจทำให้ตะกอนเพิ่มขึ้นในน้ำ ส่งผลให้สัตว์น้ำบางชนิดลดลง - ปัญหาการเดินเรือช่วงน้ำลง ถ้าถมทะเลโดยไม่ได้วางแผนเรื่องกระแสน้ำและตะกอน อาจทำให้ร่องน้ำที่เคยใช้ตื้นขึ้นในช่วงน้ำลง เรืออาจติดตม ไม่สามารถออกหาปลาได้ตลอดเวลาต้องรอเวลาน้ำขึ้น
4. ผลกระทบต่อชำวประมงพื้นบ้ำนจำกกำรเดินเรือลอดใต้ตอม่อสะพำน หากมีตอม่อสะพาน (สะพานเชื่อมระหว่างฝั่งกับท่าเรือที่ถมทะเล) บริเวณแหลมไผ่กับท่าเรือ และชาวประมงพื้นบ้าน
ต้องเดินเรือลอดใต้สะพานเพื่อออกไปหาปลา อาจเกิดผลกระทบดังต่อไปนี้
- ความสูงของสะพานอาจเป็นอุปสรรค ถ้าตอม่อสะพานมีช่องลอดต่ำเกินไป เรือบางล าอาจผ่านไม่ได้ในช่วงน้ำขึ้นเรือที่มีเสากระโดงสูงหรือเสาวิทยุ อาจติดสะพาน ต้องรอน้ำลงถึงจะ
ผ่านได้ โดยในช่วงคลื่นสูงหรือน้ำทะเลหนุน อาจเสี่ยงอุบัติเหตุจากการชนสะพาน กรณีนี้ไม่น่าเป็นปัญหานักเนื่องจากเรือประมงที่ลอดผ่านพื้นที่นี้มีขนาดเล็ก - กระแสน้ำใต้สะพานอาจเปลี่ยนไป ทำให้การเดินเรือยากขึ้น เมื่อกระแสน้ำต้องไหลผ่านช่องแคบใต้สะพาน ความเร็วอาจเพิ่มขึ้นหรือเกิดกระแสน้ำวน ถ้ากระแสน้ำไหลแรงมาก เรือเล็ก
อาจควบคุมได้ยาก หรือเสี่ยงถูกพัดไปชนเสาสะพาน อาจเกิด “น้ำวน” ที่ทำให้เรือเล็กเสียการทรงตัว เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ - สะพานอาจทำให้ตะกอนสะสมและทำให้น้ำตื้นลง การมีโครงสร้างสะพานในน้ำอาจทำให้เกิดการสะสมของตะกอนรอบๆ เสาสะพาน ถ้าน้ำตื้นขึ้น เรือประมงอาจติดพื้นดินช่วงน้ำลง
อาจต้องขุดลอกร่องน้ำบ่อยขึ้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง - เวลากลางคืนอาจมีปัญหาด้านทัศนวิสัย ถ้าสะพานไม่มีไฟส่องสว่างที่เหมาะสม ชาวประมงที่ออกเรือตอนกลางคืนอาจ มองไม่เห็นเสาสะพานหรือช่องลอด เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ
เช่น เรือพุ่งชนเสาสะพานหรือเรือประมงชนกันเอง
แนะศึกษาผลกระทบให้รอบด้าน
ผลกระทบจากโครงการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์บริเวณชายฝั่งชุมพร-ระนอง ตามการศึกษานี้ แม้ว่าโครงสร้างท่าเรือและสะพานที่จำลองขึ้นในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์อาจยังไม่สามารถสะท้อนสภาพความเป็นจริงได้ทั้งหมด เนื่องจากข้อจำกัดด้านข้อมูลและความซับซ้อนของธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบสำคัญที่อาจเกิดขึ้นกับการประมงพื้นบ้าน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำบริเวณเส้นทางเดินเรือและแหล่งทำมาหากินของชาวประมง
หากโครงการก่อสร้างทำให้กระแสน้ำบริเวณดังกล่าวไหลเร็วขึ้น อาจทำให้ชาวประมงจับปลาได้ยากขึ้น เพราะกระแสน้ำที่แรงอาจพัดอวนและเครื่องมือประมงออกจากจุดที่วางไว้ นอกจากนี้เรือขนาดเล็กที่เป็นหัวใจของการประมงพื้นบ้านอาจควบคุมได้ยากขึ้นในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ นอกจากนี้ การไหลของน้ำที่เปลี่ยนไปอาจทำให้ปลา ปู และกุ้งย้ายถิ่นฐานไปยังบริเวณที่กระแสน้ำสงบกว่า ส่งผลให้แหล่งหากินของชาวประมงเปลี่ยนไป และอาจต้องออกไปหาปลาไกลขึ้นส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
ในทางกลับกัน หากโครงสร้างท่าเรือทำให้กระแสน้ำไหลช้าลง อาจเกิดการสะสมของตะกอนที่พื้นทะเล ทำให้บางพื้นที่ตื้นขึ้นและส่งผลต่อแหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำ นอกจากนี้ กระแสน้ำที่นิ่งขึ้นอาจทำให้ของเสียจากเรือและมลพิษสะสมอยู่ในพื้นที่ได้นานขึ้น ส่งผลให้คุณภาพน้ำแย่ลงและกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล แม้ว่ากระแสน้ำที่สงบลงอาจเอื้อให้บางพื้นที่กลายเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น ้าแต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการทำประมงแบบดั้งเดิม
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือ พื้นที่ที่ถูกถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรืออาจขวางเส้นทางเดินเรือของชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางและอ้อมไกลขึ้น ส่งผลให้เสียเวลาและค่าน้ำมันมากขึ้นหากไม่มีการวางแผนที่ดี ร่องน้ำที่เคยใช้เดินเรืออาจตื้นขึ้นจากการสะสมของตะกอน ทำให้เรือประมงติดโคลนในช่วงน้ำลง และจำเป็นต้องรอเวลาน้ำขึ้นจึงจะออกเรือได้ ซึ่งอาจกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวประมงนอกจากนี้ หากมีการสร้างสะพานเชื่อมท่าเรือที่ถมทะเลกับฝั่ง อาจทำให้ชาวประมงต้องเดินเรือลอดใต้สะพาน ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านความสูง โดยเฉพาะช่วงน้ำขึ้น เรือบางลำอาจไม่สามารถผ่านไปได้หรือในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงอาจเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการชนสะพาน อีกทั้งกระแสน้ำที่ไหลผ่านช่องแคบใต้สะพานอาจมีความเร็วเพิ่มขึ้นหรือเกิดน้ำวน ทำให้การเดินเรือยากขึ้น โดยเฉพาะเรือเล็กที่เสี่ยงต่อการถูกพัดไปชนเสาสะพาน
นอกจากนี้ โครงสร้างสะพานอาจทำให้เกิดการสะสมของตะกอนรอบเสาสะพาน ส่งผลให้บางพื้นที่ตื้นเขินและต้องมีการขุดลอกร่องน้ำบ่อยขึ้น ซึ่งอาจมีต้นทุนสูง
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่า โครงการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้าน การสูญเสียแหล่งทำกิน เส้นทางเดินเรือ และระบบนิเวศทางทะเล อาจทำให้ชาวประมงต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น เสี่ยงต่อความปลอดภัย และอาจต้องปรับเปลี่ยนอาชีพหากผลกระทบรุนแรงเกินกว่าจะแก้ไขได้
การพัฒนาควรเป็นไปอย่างสมดุลกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบให้น้อยที่สุด โดยควรมีการศึกษาและวางแผนมาตรการบรรเทาผลกระทบอย่างรอบด้าน โดยรับฟังเสียงของชุมชนและผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
8 อุทยานแห่งชาติ-พื้นที่สงวน เสี่ยงสูงจากแลนด์บริดจ์
“แลนด์บริดจ์” เมกะโปรเจกต์ขาจร ไร้เงาในแผนระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้