ฝุ่น PM2.5 จากภาคเกษตร
ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 เป็นวาระสำคัญทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่หลายภาคส่วนพยายามแก้ไข หากเทียบจากโครงสร้างการบริหารจัดการ ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด จะเห็นได้ว่า 1 ใน 6 ต้นตอสำคัญของปัญหาฝุ่นคือ ภาคเกษตรกรรม ดังจะเห็นจากจุดความร้อนหรือ hotspot ที่มาจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร โดยเกษตรกรหลายรายไม่มีทางเลือกอื่นในการจัดการเศษวัสดุเหล่านี้
การเผาในที่โล่งคิดเป็นสัดส่วนที่สูงของแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ทั้งหมด โดยข้อมูลพื้นที่เผาไหม้สะสมในประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า พื้นที่เกษตรกรรมมีจุดเผาไหม้สะสมสูงที่สุดในปี 2566 อยู่ที่ 55,470 จุด สะท้อนให้เห็นว่าภาคการเกษตรเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญต่อการเกิดปัญหามลพิษทางอากาศ ตรงกับงานวิจัยโดยทีม ASIA-AQ ร่วมกับ GISTDA และ NASA ที่รายงานว่า การเผาเศษซากชีวมวลเป็นต้นตอหลักที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือของประเทศไทย
จุดความร้อนจำแนกตามพื้นที่เกษตรส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่นาข้าว คิดเป็น 38.02% ของจุดความร้อนในพื้นที่ภาคเกษตรทั้งหมด รองลงมาคือไร่ข้าวโพดและไร่หมุนเวียน 24.08% และอ้อย 9.90%

แม้ว่าการเผาในภาคเกษตรอาจมีเหตุผลและความจำเป็น แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยรวม และถือเป็นปัญหาหนึ่งที่ต้องเร่งแก้ไปพร้อม ๆ กับอีก 5 ภาคส่วน (เมือง คมนาคม ฝุ่นข้ามพรมแดน ป่าไม้ และอุตสาหกรรม)
นี่จึงเป็นที่มาของโครงการหยุดเผาลุ่มน้ำชี ที่เริ่มขับเคลื่อนสังคมเกษตรกรให้เห็นและเปลี่ยนมาใช้ทางเลือกจุลินทรีย์แทนการเผาตั้งแต่ปลายปี 2567 โดยดำเนินการในขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม พื้นที่ 4 จังหวัดรอบแม่น้ำชี และนำมาสู่วงเสวนาของโครงการ ร่วมกับตัวแทนเกษตรจากทั้ง 4 จังหวัด เล่าถึงความคืบหน้าและความสำเร็จของโครงการ
สั่งห้ามเผา แก้ที่ผิว?
ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามผลักดันนโยบายลดการเผาตอซังข้าวอย่างจริงจัง โดยมีทั้งมาตรการลงโทษผู้กระทำผิด และมาตรการเยียวยาช่วยเหลือเกษตรกร เช่น โครงการข้าวรักษ์โลกที่สนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตรอย่างรถไถกลบตอซัง รถอัดฟาง รวมถึงการส่งเสริมตลาดอัดเม็ดอัดก้อนฟางข้าว
เกียรติศักดิ์ อาจหาญ หัวหน้ากลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดร้อยเอ็ด ยกตัวอย่างการกำกับดูแลเรื่องการเผาภาคเกษตรในร้อยเอ็ดว่า
“ตามนโยบายรัฐส่งเสริมเกษตรเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการรณรงค์งดใช้สารเคมี ลดก๊าซเรือนกระจก ลดการเผา เป็นนโยบายเชิงยุทธศาสตร์มาโดยตลอด กรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการสื่อสาร สร้างการรับรู้มาเรื่อย ๆ ในประเด็นลดการเผาก็ส่งเสริมการไถกลบตอซังมาทุกปี”
แต่ในทางปฏิบัติ เกษตรกรยังคงเผชิญความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการขาดแคลนเครื่องจักรกลที่เพียงพอและทันเวลาสำหรับการทำนาปรัง ซึ่งมีเวลาเตรียมดินเฉลี่ยเพียง 30 วัน ก่อนน้ำจะท่วม เพื่อให้ทันต่อการเพาะปลูกรอบใหม่ หรือแม้กระทั่งการจ้างวานไถกลบตอซัง ที่เอกชนบางเจ้าต้องการให้เผาก่อนไถ
เพ็ญศรี มีทองหลาง หัวหน้ากลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดกาฬสินธุ์ เล่าถึงข้อจำกัด ว่าเกษตรกรยังต้องเผา เพราะเป็นทางเดียวในการกำจัดตอซัง และให้ข้าวไม่เมาตอซัง
“กาฬสินธุ์เป็นพื้นที่ดินดำน้ำชุ่มที่มีพื้นที่การปลูกเยอะ เกษตรกรที่ผ่านมาก็มีการเผาเยอะเช่นกัน คือเกษตรกรไม่มีทางเลือก คนจ้างไถเขาไม่อยากจะไถเพราะมันไถยาก ส่วนถ้าไถไปโดยไม่เผาก็เกิดปัญหาข้าวเมาตอซัง ไม่โต ให้ผลผลิตไม่ดี ทำให้เขาจำเป็นต้องเผา”
แม้รัฐจะมีโครงการสนับสนุน แต่จำนวนเครื่องจักรกลอาจยังมีไม่มากพอ หรือถึงแม้จะมีเพียงพอ แต่ก็อาจไม่ทันต่อความต้องการของเกษตรกรจำนวนมากที่ต้องการใช้เครื่องจักรกลในเวลาเดียวกัน ทำให้เกษตรกรบางส่วนยังคงเลือกวิธีการเผาตอซังข้าวที่สะดวกและรวดเร็วกว่า หรือเพราะไม่มีตัวเลือกจัดการฟางวิธีอื่นแล้ว ที่จะทันการทำนาปรังในรอบถัดไป
กฤติกา เทพามาตย์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยความท้าทายในการทำงานเกษตรจังหวัด เพราะการสั่งห้ามเผาจำเป็นที่จะต้องมาพร้อมกับทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า
“การเผาเป็นประเด็นหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาว่าเป็นตัวสร้างปัญหา ปีที่ผ่านมาเราสร้างการรับรู้ นำแนวนโยบายในแผนงานปฏิบัติมาใช้ในพื้นที่ แต่เราอาจจะติดปัญหาว่า เวลาแนะนำอย่าเผา เผาไม่ดี แต่เค้าสะท้อนกลับมาว่า ไม่เผาแล้วเค้าจะต้องทำยังไง”
“อย่างพื้นที่นาปรัง วิถีชีวิตคือมันเร่งรีบ ทั้งเรื่องเวลาให้ทันน้ำที่ปล่อยมา และต้องมีเครื่องจักรที่จะต้องทันช่วงนั้น พื้นที่ขนาดเล็กถ้าไม่เผารถไถก็เข้าไม่ได้ ถ้าเขาไม่เผามันก็ไม่ทัน”
นอกจากนี้ การเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลของเกษตรกรแต่ละรายก็แตกต่างกัน เกษตรกรบางส่วนอาจยังไม่ทราบถึงทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการเผา หรืออาจขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องจักรกลหรือนวัตกรรม เพื่อจัดการฟางข้าวอย่างถูกวิธี
สิ่งมีชีวิตช่วยสลายตอซัง “จุลินทรีย์”
ผลการศึกษาค้นพบว่า จุลินทรีย์สามารถผลิตเอนไซม์ที่ช่วยย่อยสลายตอซังข้าวได้ภายใน 10-14 วัน เป็นระยะเวลาที่รวดเร็ว พอให้ชาวนาสามารถเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรอบถัดไป (หน้านาปรัง ก่อนน้ำท่วม) ได้ทันท่วงที
รศ. ไกรเลิศ ทวีกุล ที่ปรึกษาโครงการหยุดเผาลุ่มน้ำชี เล่าว่า
“เกษตรกรที่ใช้จุลินทรีย์เห็นชัด ทำไมข้าวงามขึ้นเยอะ ชาวบ้านบอก 80% ข้าวดีดข้าวเด้งไม่มี 70% วัชพืชไม่มี ที่ไปเยี่ยมบ้านต่าง ๆ ในขอนแก่น ยืนยันเสียงเดียวกัน”
“การที่น้ำไปถมหมักตอซัง มันดึงไนโตรเจนมาเองได้ น้ำก่ำหรือที่ชาวบ้านเรียกน้ำสนิมในแปลงนาก็ลดลง”
รศ.ไกรเลิศ เล่าถึงการดำเนินการทำแปลงสาธิตของโครงการหยุดเผาลุ่มน้ำชี ที่ช่วยเพิ่มความเข้าใจและเพิ่มแรงจูงใจ
“โครงการมีแรงจูงใจอย่างการชวนคนมาลองใช้จุลินทรีย์มีรางวัลหมื่น ถ้าเข้าร่วมเป็นแปลงสาธิตก็จะให้จุลินทรีย์ฟรี มีการประกวดชุมชนไม่เผาตอซังดีเด่น วิธีเหล่านี้คือการกระตุ้น การดึงชุมชนมาเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูล เหมือนมีเอเจนต์เป็นเกษตรกร จนเริ่มมีชาวบ้านถามอาจารย์ว่าซื้อที่ไหนและอยากรับจุลินทรีย์มาขายเอง”
จุลินทรีย์มีหน้าที่ย่อยสลายตอซังข้าว เปลี่ยนตอซังซึ่งอุดมไปด้วยธาตุอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงให้ต้นข้าวดูดซึมสารอาหารในดินได้ดียิ่งขึ้น ลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี และยังช่วยย่อยสลายมวลชีวภาพอื่น ๆ ในนาข้าว
จุลินทรีย์ยังมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศในดิน โดยจะช่วยสร้างแหล่งอาหารให้สิ่งมีชีวิตในดินอย่างแมลง ไส้เดือน กบ เขียด ซึ่งจะช่วยพรวนดินให้โปร่ง ร่วนซุย เพิ่มออกซิเจนในดิน ทำให้ดินมีชีวิตชีวาและอุดมสมบูรณ์ขึ้น ส่งผลให้ต้นข้าวแข็งแรง มีภูมิต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
ยิ่งไปกว่านั้น จุลินทรีย์ยังช่วยย่อยเมล็ดวัชพืชและเมล็ดข้าวที่ปะปนมากับรถไถหรือรถเกี่ยวข้าว ช่วยลดปัญหาข้าวดีด ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเพาะปลูกข้าว ทำให้ชาวนามีผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เพราะเป็นนวัตกรรมทางการเกษตรที่ใหม่ รศ.ไกรเลิศ เล่าว่า เกษตรกรเริ่มใช้จุลินทรีย์ และมีการทำทดลองเปรียบเทียบผลผลิตเอง
“ชาวบ้านใช้จุลินทรีย์ในแปลงสาธิตโดยเปิดให้เกษตรกรเข้าไปพูดคุยได้ ให้เห็นความหลากหลายว่าข้าวงามต่างกันยังไง โดยลองใช้จุลินทรีย์ทั้งของพัฒนาที่ดิน กรมเกษตร นี่คือชาวบ้านเป็นนักวิจัยแล้วนะครับ รู้จักลองเปรียบเทียบกัน”
รศ.ไกรเลิศ ยกตัวอย่าง

แปลงนาสาธิตการใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังของผู้ใหญ่บ้าน โดยผู้ใหญ่บ้านได้เปรียบเทียบแปลงที่ใช้จุลินทรีย์กับแปลงที่เผา ทั้งด้านผลผลิตและเปรียบเทียบต้นทุนและกำไร
วิธีการเตรียมสารละลายและการใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และมีต้นทุนที่คุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน อย่างตารางข้อมูลจากผลการสำรวจของโครงการเรน ที่แสดงให้เห็นว่า จุลินทรีย์คุ้มมากกว่าการใช้รถแทรกเตอร์ไถกลบทั้งส่วนต้นทุนและกำไร
“ช่วงที่ผ่านมามันมีเรื่องน้ำหมักชีวภาพที่ส่วนมากเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลาย ในส่วนนักปฏิบัติก็ไม่เชี่ยวชาญ ปัจจุบันมีเข้ามาหลายตัว เมื่อได้ยินตัวนี้ชาวบ้านบางคนเริ่มใช้ฉีดพ่นแปลงนาร่วมกับโครงการที่เราส่งเสริมการไถกลบ”
เกียรติศักดิ์ อาจหาญ หัวหน้ากลุ่มอารักขาพืชจังหวัดร้อยเอ็ด สะท้อนมุมมองฝั่งเกษตรจังหวัด
จุลินทรีย์ กับอนาคตที่ต้องไปต่อ
หลังจากประสบความสำเร็จในการทดลองใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังข้าวในพื้นที่นำร่องบริเวณลุ่มน้ำชี ขั้นตอนต่อไปคือการขยายผลให้เกิดผลลัพธ์ในวงกว้าง สร้างตลาดรองรับ และจูงใจให้ชุมชนเห็นความสำคัญของการงดเผา
แม้ว่าหลายภาคส่วนจะเริ่มตระหนักถึงประโยชน์ของจุลินทรีย์ในการจัดการฟางข้าว แต่เสียงสะท้อนจากเกษตรกรในหลายพื้นที่บ่งชี้ว่า จุลินทรีย์ยังเป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกเท่านั้น การที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีกลไกและมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การขยายผลจุลินทรีย์ในครั้งนี้ จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายด้าน โดยมีตัวอย่างเสียงสะท้อนจากเกษตรแต่ละจังหวัดเป็นตัวอย่างความท้าทายในการจัดการปัญหาเผาฟาง
ร้อยเอ็ด: เกียรติศักดิ์ อาจหาญ หัวหน้ากลุ่มอารักขาพืชจังหวัดร้อยเอ็ด มองว่าการตื่นตัวเรื่องจุลินทรีย์ของเกษตรกรในพื้นที่อยู่ที่ประมาณ 7 เต็ม 10 เหลืออีก 3 ที่ยังรอดูการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตหลังใช้จุลินทรีย์ในแปลงสาธิตก่อน นอกจากนี้ เกียรติศักดิ์ยังฝากความท้าทายในการเผยแพร่จุลินทรีย์ต่อไป ดังนี้:
- การเปลี่ยนพฤติกรรม: เสนอให้เปลี่ยนผ่านเพื่อนบ้าน ในกลุ่มกิจกรรมการเกษตร ให้แนะนำกันและประสานต่อกัน เริ่มจากผลเชิงบวกจากจุลินทรีย์ ว่ามันย่อยดีนะ เพื่อนบ้านก็จะเปลี่ยนทัศนคติ
- เชิงนโยบาย: อาศัยทางผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้บริหารระดับสูงควรให้ความสำคัญเรื่องเกษตรกรในพื้นที่เผาเยอะ เสี่ยงเผาซ้ำ เบื้องต้นสนับสนุนปัจจัย สนับสนุนค่าแรง เพราะการทำนามันมีค่าใช้จ่าย
- เศรษฐกิจการเงิน: ถ้าประกาศว่าโรงสีผมไม่รับซื้อข้าวจากนาที่เผา มันก็เหมือนเชิงนโยบาย ถ้าภาคตลาด ผมซื้อแต่ผมลดราคาเพราะพื้นที่เผา อาจจะใช้มาตรการลดราคา อย่าไม่รับซื้อเลย
- มีความท้าทายอีกคือนอกจากจุลินทรีย์ในพื้นที่ระบบชลประทานที่ดี เราไปใช้ในพื้นที่น้ำแห้งนาแห้งได้ไหม ก็ท้าทายตามมา เกี่ยวพันเรื่องค่าใช้จ่าย จุลินทรีย์เป็นสิ่งที่ดี ช่วยย่อยสลายเศษซากพืช ถ้าเอกชนมีกำลังซื้อ ก็กรุณารับซื้อผลผลิตจากพื้นที่ที่ไม่เผาให้ราคาที่ดีหน่อย
กาฬสินธุ์: หัวหน้ากลุ่มอารักขาพืช จังหวัดกาฬสินธุ์ เพ็ญศรี มองเห็นความท้าทายในเชิงงบประมาณและเงินทุน ที่เกษตรกรต้องการความช่วยเหลือในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเผาสู่การลงทุนใช้จุลินทรีย์
“การบูรณาการการทำงานของส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น ส่วนกลาง มาช่วยพี่น้องเกษตรกรให้เขาไม่เผาในพื้นที่การเกษตร และอาจจะสนับสนุนปัจจัยบางส่วน เช่นจุลินทรีย์หรือช่วยไถ อาจจะไม่ให้ฟรีทั้งหมด อาจจะให้พี่น้องสมทบบ้าง 50% 25% ที่เหลือก็ซัปพอร์ตพี่น้อง ในเรื่องแหล่งเงินสนับสนุน มองว่าท้องถิ่นมีส่วนร่วมได้อีกช่องทางได้ ช่วยส่งเสริมอาชีพให้พี่น้องเกษตรกร”
“สร้างความมีส่วนร่วมของเกษตรกร มีความเป็นเจ้าของ ทำให้การทำงานเรายั่งยืนมากขึ้น ถ้าเราให้ฟรีไป บางทีเกษตรกรก็เห็นความสำคัญน้อย”
มหาสารคาม: สมพร นามพิลา เกษตรจังหวัด กล่าวถึงภาครัฐและภาคนโยบาย ที่ควรออกนโยบายเพิ่มแรงจูงใจและการสนับสนุนให้ใช้จุลินทรีย์ รวมถึงทำตามนโยบายจูงใจที่บังคับใช้อยู่แล้วด้วย
“ความท้าทายอยู่ที่นโยบายภาครัฐว่าจะจริงจังขนาดไหน วันนี้กระทรวงเกษตรฯ ประกาศออกมาแล้วว่าให้หยุดเผา ถ้าเผาจะงดให้เข้าร่วมโครงการภาครัฐ เขาจะเอาจริงขนาดนั้นรึเปล่าต้องรอดู”

สมพร นามพิลา เกษตรจังหวัดมหาสารคาม
“ผมสังเกตเรื่องอ้อยมา 2 ปีผมมาอยู่มหาสารคาม ที่มีนโยบายถ้าอ้อยใครไม่เผารัฐบาลจะสนับสนุน 120 บาทต่อตัน ตั้งแต่อยู่มายังไม่เห็นได้เงินซักรายเลย นโยบายมี แต่พอเกษตรกรส่งอ้อยไปกลับไม่ให้เงิน แล้วจะให้เขาหยุดเผาได้ยังไง น่าจะจริงจังกับประกาศที่ออกมา”
สมพร เน้นย้ำความสำคัญของการเข้าใจสถานการณ์เกษตรกร ทั้งปัจจัยอย่างอายุและกลุ่มของเกษตรกรต่าง ๆ จากทั้งภาครัฐและเอกชน
“พี่น้องเกษตรกรส่วนใหญ่มีแต่คนแก่หรือคนชราที่ทำการเกษตร ถ้าเราไปเพิ่มให้เขาเอาจุลินทรีย์ไปฉีดก็เป็นการเพิ่มภาระให้เขา ปัจจุบันพี่น้องก็รับจ้างเอาทั้งหมด เป็นการลงทุน ไถก็จ้าง ดำนาก็จ้าง หว่านก็จ้าง นี่เป็นเรื่องที่ท้าทาย รัฐและเอกชนควรมีแรงจูงใจ สนับสนุนเครื่องจักรกลฟรี สนับสนุนเงินทุนให้กลุ่มเกษตรกร”
ขอนแก่น: กฤติกา เทพามาตย์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ สำนักงานเกษตรจังหวัดขอนแก่น มองถึงปัจจัยของความตระหนักรู้ถึงทางเลือกจุลินทรีย์ที่ยังมีน้อยอยู่ และเกษตรกรที่รับรู้ถึงจุลินทรีย์ก็ควรเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ในราคาที่คุ้มค่าด้วย
“ความท้าทายของขอนแก่นที่ต้องปรับให้ได้คือ ทำยังไงเกษตรกรจะเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองได้ให้ไม่เผา ปัจจัยมีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจ ให้ได้รับทราบถึงโทษและคุณของการเผามากขึ้น”
“อีกประเด็นคือสิ่งที่มาตอบโจทย์ไม่เผา อย่างจุลินทรีย์ที่ให้เกษตรกรมีตัวเลือกมากขึ้น ตอนนี้เรื่องไร่อ้อย เราหาตัวช่วยเรื่องการเผาใบอ้อย และอีกอันคือผลิตภัณฑ์ ทำยังไงเกษตรกรเข้าถึงตัวนี้มากขึ้นทั้งแหล่งซื้อจำหน่ายหรือราคาที่เกษตรกรจับต้องได้ ถึงมันจะดี ถ้ามันแพง เกษตรกรก็ไม่เอาเหมือนกัน”
ต่อยอดทางออก ไปให้ไกลกว่า จุลินทรีย์
ล่าสุด โครงการเรน (Rain) ประกาศพร้อมนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในปีนี้ รวมถึงแสดงความยินดีเปิดรับจุลินทรีย์จากภาคเอกชนเพิ่มเติม เพื่อนำมาทดลองและขยายผลในวงกว้าง ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีของการร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคม เอกชน ภาครัฐ และเกษตรกรเอง ในการผลักดันให้จุลินทรีย์เป็นทางเลือกหลักในการจัดการฟางข้าว
“เรามองว่า การสื่อสารไปยังคนหมู่มากเป็นสิ่งสำคัญ คนมองว่าเกษตรกรจะต้องแบกรับภาระเรื่องการเผาไม่เผา ทำให้เกษตรกรถูกโจมตีมากมาย”
ชนากานต์ พุทโธ กุพชกะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โครงการเรน เผยถึงแผนอนาคตในการดำเนินการของโครงการหยุดเผาลุ่มน้ำชีและโครงการเรน โดยเปิดเผยว่าจะมีการศึกษาตลาดเพิ่มเติม เปิดรับจุลินทรีย์ภาคเอกชนเพิ่มเติม และเพิ่มการเข้าถึงจุลินทรีย์ผ่านชุมชน
“อยากให้ความมั่นใจว่าเราจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อ เรามีการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเทียบกับการไถกลบและการเผา เพื่อสร้างความมั่นใจว่า แนวทางนำเสนอการใช้จุลินทรีย์เป็นทางเลือกที่คุ้มและน่าใช้”

ชนากานต์ พุทโธ กุพชกะ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ โครงการเรน และ ผู้ใหญ่บ้านเจ้าของแปลงนาสาธิต
“ตอนนี้โครงการเราส่งเสริมอยู่สองตัว แต่เราเปิดรับจุลินทรีย์ของเอกชนทุกภาคส่วน และภาครัฐ ช่วยกระจายจุลินทรีย์ให้เกษตรกรเข้าถึงง่ายที่สุด และมีโปรแกรมให้เกษตรกรเข้าถึง สำหรับคนที่ไม่อยากผลิตเอง ทำความร่วมมือกับผู้ขายในพื้นที่ ร้านเคมีภัณฑ์ให้เกษตรกรหาซื้อได้ง่ายในชุมชน รวมถึงเกษตรกรรวบรวมออเดอร์ สั่งซื้อผ่านพาร์ตเนอร์ของเรา”
รศ.ไกรเลิศ ที่ปรึกษาโครงการ เปิดเผยถึงเป้าหมายโครงการเพิ่มเติม โดยหลังจากฝึกอบรบเชิงปฏิบัติการให้เกษตรกรให้เปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้จุลินทรีย์แล้ว ในปัจจุบันโครงการจึงเริ่มสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ชาวนาจัดแปลงสาธิต เพื่อเผยแพร่การทดลองใช้จุลินทรีย์สู่เกษตรกร 6,000 คนภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และให้เพิ่มเป็น 20,000 คนก่อนสิ้นสุดโครงการ
นอกจากงานส่วนจุลินทรีย์แล้ว ชนากานต์ เล่าถึงการทำแพลตฟอร์มติดตามจุดความร้อนสำหรับภาคท้องถิ่น และการขยายโครงการจุลินทรีย์ไปสู่พื้นที่อื่น ๆ
“โครงการกำลังทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่าง ListenField สร้างแพลตฟอร์มติดตาม hotspot เป็นข้อมูลจาก GISTDA ช่วยให้เราเห็นข้อมูลและบริหารจัดการ แก้ปัญหได้ทันท่วงที เพราะเกษตรตำบล/อำเภอ ไม่ได้เข้าถึงข้อมูลนี้ได้ง่ายนัก เราตั้งใจว่าแพลตฟอร์มนี้ ให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าถึงได้เพื่อไปบริหารจัดการพื้นที่ตัวเอง”
“ในปีนี้ เริ่มมีการคุยว่าเราจะขยายโครงการไปที่ไหนบ้างอย่างชัยภูมิ โคราช เชียงราย และวันนี้เราเริ่มการทำงานกับจังหวัดอ่างทอง ทางจังหวัดเค้ามาพูดว่าอยากทำแบบนี้และตั้งเป้าว่าจะปลอดการเผาทั้งจังหวัด ถ้าพื้นที่ไหนสนใจเพิ่มเติมเราก็ยินดีร่วมทำงานด้วย”
หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง การใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังข้าวก็จะไม่เป็นเพียงโครงการนำร่อง แต่จะกลายเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับเกษตรกรไทยในการจัดการฟางข้าว ลดการเผา และสร้างผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศ
ยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น มาร่วมฟังเสวนาวิชาการเรื่องจุลินทรีย์ และแสดงความสนใจจากภาครัฐว่า
“แม้จะมีการอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรทุกปี แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เราต้องหาแนวทางที่จะทำให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การจัดกิจกรรมแล้วจบไป”

ยุทธพร พิรุณสาร รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น
“อยากเดินร่วมกับโครงการไม่เผาลุ่มน้ำชีนี้ อยากเห็นเกษตรกรกี่แปลงกี่ไร่ได้รับความรู้ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมเลิกเผาอย่างสิ้นเชิง น่าจะเป็นประโยชน์และน่าจะเอาไปเสนอกับรัฐบาลได้”