“หยุดรบและหันมาค้าขาย” ของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐตรี ในปี 2531 ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง “สนามรบให้เป็นสนามการค้า” ที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชาได้เปลี่ยน “สนามการค้าให้กลายเป็นสนามรบ” จากความขัดแย้งรอบใหม่
ความเสียหายทางเศรษฐกิจชายแดนไทย- กัมพูชา นับจากที่เริ่มมีเหตุปะทะในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งประเมินกันว่าอาจจะมากกว่าเดือนละหมื่นล้านบาท และยังประเมินไม่ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ อีกทั้งมีแนวโน้มว่าความขัดแย้งยังดำรงอยู่ต่อไปอีกนาน
แม้จะข้อตกลงหยุดยิงและเริ่มมีการเจรจาในความขัดแย้งรอบนี้ แต่การค้าชายแดนที่เสียหายจากความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังต้องรีบฟื้นฟูและเยียวยา โดย “เราจะเปลี่ยนสนามรบให้มาเป็นสนามการค้า” เหมือนอดีตได้อย่างไร
Thai PBS Policy Watch ได้พูดคุยกับ “วิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย” ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ และ “รัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ” ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจชายแดน และสะท้อนมุมมองของภาคเอกชน ต่อความท้าทายและทางออกในปัจจุบัน
“สุรินทร์” ศูนย์กลางการค้าชายแดน 4 จังหวัด
หากประเมินบรรยากาศการค้าขายชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ในอดีต ช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจชายแดนบริเวณนี้คึกคักอย่างมากระหว่างคนสองฝั่ง โดยเฉพาะบริเวณด่านช่องจอม มีรถทะเบียนกัมพูชาเข้ามาจำนวนมาก
“วิรัตน์” ประธานหอการค้าสุรินทร์ บอกว่า คนจากฝั่งโน้นเดินทางเข้ามาเพื่อรักษาพยาบาล ซื้อสินค้า และท่องเที่ยว ภาคบริการฝั่งไทยเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งโรงพยาบาล คลินิกทันตกรรม ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า รวมถึงธุรกิจอพาร์ตเมนต์ที่ผุดขึ้นมาเพื่อต้อนรับลูกค้าต่างชาติ
การจับจ่ายใช้สอยของชาวกัมพูชาไม่เพียงจำกัดแค่สินค้าทั่วไป แต่ยังรวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้ไฟฟ้า มีการติดป้ายภาษากัมพูชาในหลายร้านค้า และว่าจ้างแรงงานจากฝั่งกัมพูชามาช่วยให้บริการ รองรับลูกค้าชาวต่างชาติอย่างจริงจัง
“ขับรถไปตามถนนก็เห็นทะเบียนกัมพูชาเต็มไปหมด สินค้าจากฝั่งไทย ไม่ว่าจะเป็นของใช้หรืออาหารสด ต่างก็ได้รับความนิยมมาก”
หากเปรียบเทียบระหว่าง 4 จังหวัดชายแดนภาคอีสานตอนล่าง ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี จังหวัดสุรินทร์ถือว่ามีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุด
“เรามีศักยภาพสูงสุดในด้านการค้าชายแดน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะรายย่อยหรือรายใหญ่ก็ได้รับผลกระทบ เพียงแต่อาจต่างกันในระดับความรุนแรง รายใหญ่พอจะประคองได้บ้าง แต่รายย่อยจำนวนมากได้รับผลเต็ม ๆ”
“ศรีสะเกษ” พรมแดนยุทธศาสตร์ “ไทย -กัมพูชา”
ขณะที่ศรีสะเกษอาจมีมูลค่าการค้าที่ต่ำกว่าสุรินทร์ แต่ก็มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ไม่น้อย “รัฐวิทย์ ประธานหอการค้าศรีสะเกษ” อธิบายว่า พื้นที่ชายแดนที่สำคัญของศรีสะเกษมี 2 แห่ง ได้แก่
“ด่านช่องสะงำ” อำเภอภูสิงห์ ซึ่งเป็นด่านถาวรที่ใช้ในการขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออกระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำผลไม้ สบู่ ยาสีฟัน และเครื่องจักรทางการเกษตร มูลค่าการค้าชายแดนที่ด่านแห่งนี้อยู่ระหว่าง 1,500 – 1,900 ล้านบาทต่อปี
อีกจุดหนึ่งคือบริเวณ “ผามออีแดง” ซึ่งเคยเป็นทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร และจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่หลังจากเหตุพิพาทเมื่อปี 2554 ทางขึ้นปราสาทถูกปิดจนถึงปัจจุบัน
เหตุปะทะไทย-กัมพูชา การค้าชายแดนซบเซา
เศรษฐกิจชายแดนได้รับกระทบอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 และเริ่มฟื้นกลับมาได้ ภายหลังการระบาดของโควิด-19 แต่การฟื้นตัวยังไม่เต็มร้อย
วิรัตน์ ประธานหอการค้าสุรินทร์ ระบุว่า แม้สถานการณ์การระบาดโควิดจะเริ่มคลี่คลาย แต่การค้าชายแดนก็ยังไม่ฟื้นกลับมา โดยหลังโควิด จำนวนลูกค้าชาวกัมพูชากลับมาแค่ประมาณ 50–60% ของช่วงก่อนหน้านั้น ยังไม่ฟื้นเต็มที่
ขณะที่การฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังโควิด19 ยังกลับมาได้ไม่เต็มที่ ความตึงเครียดบริเวณชายแดนก็กลับมาซ้ำเติมในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้การค้าขายที่เริ่มฟื้นตัวก็ค่อยๆ เงียบลงอีกครั้ง
“รอบนี้หนักเลยครับ หายไปเกือบ 100% ทั้งกลุ่มลูกค้าและรถขนส่ง ทุกอย่างหยุดหมดแบบกะทันหัน” นายวิรัตน์กล่าว
ผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าวส่งตรงมายังภาคธุรกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการในเขตด่านชายแดน เช่น ตำบลด่าน ช่องจอม และอำเภอกาบเชิง ที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดน
“กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือผู้ประกอบการที่ขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคไปกัมพูชา กับกลุ่มเกษตรกรที่ส่งออกไก่สด – ซึ่งปกติสุรินทร์ส่งไก่ไปฝั่งโน้นถึงเดือนละ 700,000 ตัว แต่ตอนนี้ทุกอย่างหยุดหมด” วิรัตน์เล่า
ส่วนการค้าชายแดน ของ ศรีสะเกษก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน “รัฐวิทย์ ประธานหอการค้าศรีสะเกษ” ระบุว่า แม้เหตุการณ์ปะทะจะเกิดขึ้นบริเวณใกล้เขาพระวิหาร แต่ ด่านช่องสะงำ ซึ่งเป็นจุดผ่านสินค้า ยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทว่าเนื่องจากสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ไม่แน่นอน ทำให้มีการสั่งระงับการสัญจรชั่วคราว
“แม้ด่านจะยังปลอดภัย ไม่มีการปะทะโดยตรง แต่ความไม่แน่นอนทำให้ไม่สามารถดำเนินการค้าชายแดนได้ตามปกติ สินค้าหลายประเภทเป็นสเปกเฉพาะของตลาดกัมพูชา พอรู้ว่าตลาดฝั่งโน้นมีปัญหา ผู้ประกอบการก็เริ่มชะลอการสั่งซื้อ” รัฐวิทย์ กล่าว
ผู้ประกอบการปรับตัวโฟกัสตลาดภายในประเทศ
ใน จ.สุรินทร์ ผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อยมีระดับการรับมือที่แตกต่างกัน รายใหญ่พอจะประคองได้บ้าง แต่รายย่อยได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบ
ส่วนใน จ.ศรีสะเกษ ผู้ประกอบการค้าส่งรายใหญ่ที่เคยส่งสินค้าในปริมาณมากไปยังกัมพูชา เริ่มหันกลับมาโฟกัสตลาดภายในประเทศ ขณะที่กลุ่มผู้ค้ารายย่อยบริเวณแนวชายแดน ซึ่งมักค้าขายกับชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามาซื้อของในตลาดไทย กำลังเผชิญปัญหารายได้หดตัว
“กลุ่มค้าส่งบางรายยังไม่ขยายไปตลาดอื่น รอดูสถานการณ์ก่อน ส่วนรายย่อยที่ขายของตามแนวชายแดน เราพยายามช่วยเหลือ โดยเปิดพื้นที่ตลาดถนนคนเดินในตัวจังหวัดให้เขาเข้ามาขายของแทนชั่วคราว” โดยหอการค้าศรีสะเกษ ยังได้ประสานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อหาตลาดทดแทนให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบสามารถนำสินค้าไปจำหน่ายในพื้นที่อื่นได้
เกษตรกรยังไม่กระทบ ราคามันสำปะหลังขยับขึ้น
สถานการณ์ในภาคเกษตรมีมิติที่น่าสนใจ ประธานหอการค้าศรีสะเกษ ระบุว่า แม้การค้าชายแดนจะสะดุด แต่สถานการณ์ในกลุ่มเกษตรกรฝั่งไทยยังไม่วิกฤต เนื่องจากช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากกัมพูชาเพื่อเข้าสู่โรงงานแปรรูป ขณะเดียวกัน ราคาผลผลิตในพื้นที่ศรีสะเกษเองกลับเพิ่มสูงขึ้นจากภาวะขาดแคลน
“ตอนนี้เกษตรกรในพื้นที่ยังพอใจ เพราะราคามันสำปะหลังในศรีสะเกษปรับตัวขึ้น ส่วนกลุ่มรับซื้อที่เคยไปตั้งจุดรับซื้อมันในฝั่งกัมพูชา ยังไม่เจอปัญหา เพราะเป็นช่วง off-season” รัฐวิทย์ กล่าว
สมดุลระหว่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ
ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นคือ การชั่งน้ำหนักระหว่างความจำเป็นด้านความมั่นคงกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่ง “รัฐวิทย์” ให้มุมมองที่สะท้อนความเข้าใจอันลึกซึ้งว่า
“เวลามีคนมาสัมภาษณ์หอการค้า มักจะเน้นเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจว่าเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ภาพที่ออกไปกลับไม่สะท้อนว่า เอกชนเองก็ห่วงเรื่องความมั่นคง เพราะมันคือฐานสำคัญของเศรษฐกิจเช่นกัน”
เขายืนยันว่า แม้หอการค้าจะมักถูกมองว่ากังวลเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ แต่ในความเป็นจริง ผู้ประกอบการในพื้นที่เข้าใจดีว่า “เศรษฐกิจเดินไม่ได้ หากประเทศไม่มั่นคง”
“วิรัตน์”มองในมิติเดียวกัน เมื่อถูกถามถึงความคุ้มค่าของการแลกเปลี่ยนระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางชายแดน
“สำหรับผมแล้ว มันคือเรื่องของความมั่นคงของชาติ เราไม่สามารถยอมเสียดินแดนหรือความมั่นคงไปได้ แม้ว่าจะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ต้องแลกก็ตาม การปิดชายแดนถาวร หรือสร้างกำแพงกั้นก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ก็มีต้นทุนและผลกระทบตามมา รัฐบาลจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ชัดเจน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น”
ต้องเร่งมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
ความซบเซาททางการค้าชายแดนในช่วงนี้ “รัฐวิทย์” ประธานหอการค้าศรีสะเกษ เสนอว่า รัฐบาลควรเร่งลงมาดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนอย่างจริงจัง ทั้งในแง่ของการเยียวยาผู้ประกอบการ และการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในพื้นที่
“สิ่งแรกที่รัฐควรทำคือ แสดงความใส่ใจอย่างจริงจังกับผู้ประกอบการ ปัจจุบันนี้เอกชนดูแลกันเองแทบทั้งหมด ทั้งหอการค้าและสภาอุตสาหกรรม แต่เรายังไม่เห็นแอ็กชันที่ชัดเจนจากรัฐมากนัก”
ในเบื้องต้น ภาครัฐควรพิจารณามาตรการเร่งด่วน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย การพักชำระหนี้ และการออกมาตรการทางภาษี ทั้งภาษีที่ดิน ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงการพิจารณาเขตส่งเสริมการลงทุน (BOI) แบบพิเศษ
“ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้แค่ธนาคารของรัฐ แต่ใช้ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปด้วย รัฐควรประสานมาตรการกับภาคธนาคารเอกชนด้วย เพื่อให้คนที่กำลังลำบากจริงๆ เข้าถึงได้ทันที”
ต้องสื่อสาร และ สร้างความเชื่อมั่น
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การสื่อสารของภาครัฐที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ ทำให้ภาพลักษณ์จังหวัดเสียหาย แม้จะเกิดเหตุปะทะในพื้นที่แนวชายแดน แต่ในความเป็นจริง เมืองหลักและอำเภออื่นๆ ของศรีสะเกษยังคงมีความปลอดภัย และสามารถเดินทาง ท่องเที่ยว หรือใช้ชีวิตตามปกติได้
“พื้นที่ที่เกิดเหตุคืออำเภอแนวชายแดน ไม่ใช่ทั้งจังหวัด แต่ประชาชนภายนอกกลับไม่มั่นใจ ไม่กล้ามาเที่ยว ไม่กล้ามาลงทุน รัฐควรสร้างความเชื่อมั่น เช่น จัดกิจกรรมอีเวนต์ใหญ่ๆ ดึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุนกลับมา”
สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการมากที่สุดในเวลานี้ ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือทางการเงิน แต่คือความชัดเจนจากภาครัฐว่าจะเดินหน้าในทิศทางใด หากจะปิดด่านชายแดน ก็ต้องแจ้งให้ชัด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับแผนได้
“ถ้าจะเจ็บ ก็ขอให้เจ็บครั้งเดียว แล้วจบ ไม่ใช่อยู่กับความไม่แน่นอนไปเรื่อยๆ เพราะความคลุมเครือทำให้เอกชนวางแผนไม่ได้เลย” รัฐวิทย์ กล่าว
ยึดทฤษฎีการพัฒนาเพื่อสร้างสันติภาพ
วิรัตน์ ประธานหอการค้าสุรินทร์ เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนในระยะยาว ว่าถ้าสุรินทร์สามารถพัฒนาการค้าชายแดนจนกลายเป็นเมืองชายแดนที่มีความเจริญเติบโตสูง จะช่วยลดความรุนแรงและความขัดแย้งได้มากขึ้น เพราะเมื่อมูลค่าการค้าสูงขึ้น ผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องก็จะมากตาม และฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็จะระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายรุนแรง
“ดูอย่างแม่สอดเป็นตัวอย่าง ถ้าเมืองชายแดนเจริญมาก คนมาอยู่รวมกันหนาแน่น การสู้รบจะเกิดขึ้นยาก เพราะความเสียหายจะมากและไม่คุ้มค่า แต่พื้นที่อย่างสุรินทร์ยังไม่ได้พัฒนาเต็มที่ จึงยังเกิดความขัดแย้งง่ายกว่า”
แนวคิดนี้สะท้อนทฤษฎีที่ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงทางการค้าสามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพได้ เมื่อทุกฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกันมากขึ้น ก็จะมีแรงจูงใจในการรักษาความสงบสุขเพื่อปกป้องผลประโยชน์เหล่านั้น
ขณะเดียวกัน ประธานหอการค้าศรีสะเกษ ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการไม่พึ่งพิงตลาดเดียวเกินไป โดยยืนยันว่า จังหวัดไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่การค้าชายแดนกับกัมพูชาเท่านั้น แต่วางแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานของความยั่งยืนระยะยาว โดยเฉพาะในด้านการเกษตรแปรรูปและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
“ที่ผ่านมาเราชัดเจนว่า ไม่ได้ฝากความหวังไว้กับฝั่งกัมพูชาทั้งหมด แต่แน่นอน ถ้ามีตลาดตรงนั้นด้วย เศรษฐกิจก็โตเร็วขึ้น แต่เราไม่อยากพึ่งพิงสิ่งที่เสี่ยงจนเกินไป เราอยากดึงนักลงทุนมาลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เพราะพื้นที่ของเรามีทรัพยากรพร้อม”
“อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น ดนตรี ภาพยนตร์ ก็เป็นอีกหนึ่งทิศทางที่เรากำลังผลักดัน เพราะไม่ต้องพึ่งชายแดน และมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดีในพื้นที่ของเรา”
ความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้า
อย่างไรก็ตาม วิรัตน์ ประธานหอการค้าสุรินทร์ แสดงความกังวลต่อผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น หากความขัดแย้งยืดเยื้อ จะทำให้ตลาดการค้าชายแดนซบเซา สินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งออกไปยังฝั่งกัมพูชาจะสูญเสียช่องทางตลาด และหากคู่ค้าเปลี่ยนไปพึ่งพาประเทศอื่น เช่น ลาว หรือเวียดนาม เศรษฐกิจชายแดนของสุรินทร์ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบหนัก
“ผมคาดเดาไม่ได้ว่าสถานการณ์จะจบลงเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่อยากเห็นคือการเจรจาอย่างสันติวิธี ที่ไม่ทำให้เราเสียเปรียบและสามารถกลับมาดำเนินชีวิต ทำมาค้าขายกันได้ตามปกติ” วิรัตน์ กล่าว
ทั้งสองจังหวัดต่างก็เผชิญกับปัญหาเดียวกันคือ การที่เศรษฐกิจท้องถิ่นมีความเชื่อมโยงกับการค้าชายแดนอย่างลึกซึ้ง ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ผลกระทบจะแพร่กระจายไปยังสาขาอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
“จังหวัดที่มีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมมีความได้เปรียบทางการค้า แต่ถ้าด่านปิด หรือความตึงเครียดยืดเยื้อ มันไม่ใช่แค่ค้าขายหยุด แต่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งจังหวัดเลยครับ” วิรัตน์ระบุ
ส่วน จ. ศรีสะเกษ แม้มูลค่าการค้าชายแดนอาจไม่สูงเท่าจังหวัดอื่น แต่การเปลี่ยนแปลงบริเวณชายแดนส่งผลต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจฐานรากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในภาวะที่ด่านปิดหลายแห่งพร้อมกัน ผู้ประกอบการจึงต้องพึ่งพาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิด
เมื่อถูกถามว่าอยากเห็นสถานการณ์จบลงอย่างไร “รัฐวิทย์” ประธานหอการค้าศรีสะเกษ ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ภาคเอกชนพร้อมเปิดค้าขายกับกัมพูชา แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน
“เรายินดีค้าขายกับกัมพูชา แต่ประเทศไทยต้องไม่ถูกเอาเปรียบ เราหวังว่าความขัดแย้งจะยุติลงโดยไม่ใช้ความรุนแรง และวันหนึ่งจะกลับมาหันหน้าเจรจากันได้ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ที่พึ่งพาและเติบโตไปด้วยกัน”
”วิรัตน์ ประธานหอการค้าสุรินทร์” สะท้อนความรู้สึกของผู้ประกอบการในพื้นที่ว่า ในฐานะผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่มานาน เขาอยากเห็นสถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเลขเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เพราะ “เศรษฐกิจชายแดน” คือหัวใจของคนในพื้นที่จำนวนมาก และ “อยากให้กลับมาเหมือนเดิม”
“เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ความสำเร็จในอดีต
เมื่อย้อนกลับไปในช่วงที่มีนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ในสมัยรัฐบาลของ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ พ.ศ. 2531 นายวิรัตน์ บอกว่า เป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจชายแดนอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการยกระดับด่านช่องจอมจากด่านชั่วคราวเป็นด่านถาวร พร้อมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนนและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
“เมื่อก่อนทางเข้าช่องจอมเป็นถนนลูกรัง เข้าออกลำบาก แต่พอเปิดด่านถาวร มีการสร้างถนนเชื่อมต่อ ระบบโลจิสติกส์ก็ดีขึ้นมาก ทำให้ค้าขายคล่องตัว ผู้คนเดินทางสะดวก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เอื้อต่อเศรษฐกิจโดยตรง” นายวิวัรัตน์ กล่าว
สินค้าไทยเป็นที่นิยมในกัมพูชา ทั้งในแง่คุณภาพและความเชื่อมั่น ส่งผลให้เศรษฐกิจในตัวเมืองสุรินทร์เติบโตตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น แม้สถานการณ์ปัจจุบันจะท้าทาย แต่หากรัฐบาลและภาคธุรกิจท้องถิ่นร่วมมือกันพัฒนาและเชื่อมโยงการค้าชายแดนอย่างจริงจัง จะช่วยสร้างเสถียรภาพและลดความเสี่ยงของความขัดแย้งในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ปัจจุบัน มุมมองของทั้งสองประธานหอการค้า สะท้อนให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาชายแดนไม่ควรแยกประเด็นความมั่นคงออกจากการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ควรมองในเชิงบูรณาการสิ่งสำคัญคือรัฐควรมองปัญหานี้ในหลายมิติ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขการค้า เพราะในพื้นที่ รู้ดีว่าเศรษฐกิจต้องยืนอยู่บนความมั่นคง การสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัย
ทั้งสองผู้นำเอกชนต่างมองว่า รัฐบาลควรมีแผนการรับมือในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการปิดด่านชั่วคราว การปิดถาวร หรือการเปิดใหม่ โดยต้องมีมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจนในแต่ละกรณี
สร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจชายแดน ?
ความซับซ้อนของปัญหาเศรษฐกิจชายแดน ที่ไม่สามารถแยกออกจากประเด็นความมั่นคงของชาติได้ ในขณะที่การค้าชายแดนสร้างรายได้และงานให้กับคนในพื้นที่จำนวนมาก แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สูง
ทั้ง “วิรัตน์และ รัฐวิทย์ “ต่างก็เน้นย้ำว่า ภาคเอกชนไม่ได้มองแค่ผลประโยชน์เศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่เข้าใจและยอมรับความจำเป็นด้านความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็หวังว่ารัฐบาลจะมีแผนการที่ชัดเจน มีการสื่อสารที่โปร่งใส และมีมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม
สำหรับอนาคต ทั้งสองเห็นความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ที่ไม่พึ่งพิงการค้าชายแดนเพียงอย่างเดียว แต่สร้างความหลากหลายและความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น พร้อมทั้งหวังว่าสักวันหนึ่ง ความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านจะกลับคืนมา และการค้าชายแดนจะเป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพระหว่างประชาชนทั้งสองฝั่งแดน บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน
ประสบการณ์และมุมมองของผู้นำภาคเอกชนทั้งสองท่านนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงสภาพปัจจุบันของเศรษฐกิจชายแดน แต่ยังชี้ให้เห็นทางออกที่สมดุลระหว่างความมั่นคงและการพัฒนา ที่จะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการมองปัญหาในมิติที่กว้างและลึกมากขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ชายแดนของไทยต่อไป
เศรษฐกิจชายแดนไทย–กัมพูชาในรอบ 30 ปี
เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องมองย้อนไปยังพัฒนาการของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-กัมพูชาในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา
พรมแดนไทย–กัมพูชาเป็นพื้นที่ที่ประวัติศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจพันกันอย่างแนบแน่น ในช่วงปลายทศวรรษ ๒๕๓๐ ถึงต้น ๒๕๓๓ หลังการยุติสงครามกลางเมืองในกัมพูชา ไทยกลายเป็นประตูหลักของการฟื้นฟูประเทศเพื่อนบ้านนี้
- ยุคเปิดพรมแดน 2533: การค้าข้ามแดนเริ่มฟื้นตัว ร้านค้าชายแดนรับสินค้ากัมพูชา เช่น ไม้และสินค้าหัตถกรรม ขณะที่ไทยส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคและเครื่องจักรการเกษตร ช่วงนี้เป็นการวางรากฐานของความสัมพันธ์ทางการค้าที่จะเติบโตขึ้นในภายหลัง
- ยุคทองแห่งการค้า (2548–2558): หลังเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และการลงทุนของนักธุรกิจไทยในกัมพูชาขยายตัว มูลค่าการค้ารวมทะลุหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ด่านช่องจอม (สุรินทร์) และช่องสะงำ (ศรีสะเกษ) กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ ช่วงนี้สอดคล้องกับการเล่าของนายวิรัตน์ถึงความคึกคักก่อนโควิด
- ยุคชะลอตัวและความเสี่ยง (2559–ปัจจุบัน): ปัญหาความมั่นคงชายแดนและการแข่งขันจากเพื่อนบ้านอื่น เช่น เวียดนามและลาว ทำให้การเติบโตไม่ต่อเนื่อง จนมาถึงวิกฤตปัจจุบันที่ทั้งสองประธานหอการค้าได้สะท้อนออกมา
มูลค่าการค้าและโครงสร้างสินค้า
จากข้อมูลกรมการค้าต่างประเทศ (ปี 2566) แสดงให้เห็นความแตกต่างของขนาดและลักษณะการค้าในแต่ละด่าน
- ด่านช่องจอม: มูลค่าการค้าประมาณ 6,000–8,000 ล้านบาทต่อปี สินค้าส่งออกหลักคือ อาหารสำเร็จรูป ไก่สด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตัวเลขนี้สอดคล้องกับการที่นายวิรัตน์กล่าวว่า สุรินทร์มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุดในกลุ่ม 4 จังหวัด
- ด่านช่องสะงำ: มูลค่าการค้า 1,500–1,900 ล้านบาทต่อปี เน้นวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกลการเกษตร และสินค้าบริโภค ซึ่งตรงกับที่นายรัฐวิทย์ระบุไว้ในบทสัมภาษณ์
- โครงสร้างการพึ่งพา: 60–70% ของสินค้าที่ขายในตลาดชายแดนกัมพูชามาจากฝั่งไทย แสดงให้เห็นการพึ่งพิงที่สูงของตลาดกัมพูชาต่อสินค้าไทย ซึ่งเป็นทั้งจุดแข็งและจุดเสี่ยงของการค้าชายแดน
โครงสร้างเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยง
ปัญหาเศรษฐกิจชายแดนไม่ได้มาจากตลาดอย่างเดียว แต่เกิดจาก 3 กลไกหลัก
- ความมั่นคงชายแดน – เหตุปะทะหรือข่าวลือสามารถทำให้การค้าหยุดทันที ดังที่เห็นได้จากสถานการณ์ปัจจุบันที่นายวิรัตน์กล่าวว่า “หายไปเกือบ 100% ทั้งกลุ่มลูกค้าและรถขนส่ง ทุกอย่างหยุดหมดแบบกะทันหัน”
- การพึ่งพาตลาดเดียว – ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ขายสินค้าตามรสนิยมและมาตรฐานกัมพูชา ขาดตลาดรองรับในประเทศ นายรัฐวิทย์ได้ชี้ถึงปัญหานี้ว่า “สินค้าหลายประเภทเป็นสเปกเฉพาะของตลาดกัมพูชา”
- โครงสร้างพื้นฐานและด่านที่ไม่ทันสมัย – ด่านบางแห่งขาดระบบขนส่งและพิธีการศุลกากรที่รวดเร็ว แม้จะมีการปรับปรุงตามที่นายวิรัตน์เล่าถึงการพัฒนาด่านช่องจอม
จากบริบทประวัติศาสตร์และข้อมูลเชิงปริมาณ ร่วมกับมุมมองจากภาคเอกชน สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชามีทั้งโอกาสและความเสี่ยงสูง
ทบทวนโครงสร้างเศรษฐกิจชายแดน
การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงทางการเมือง
แนวทางที่ประธานหอการค้าทั้ง 2 จังหวัด เสนอ ไม่ว่าจะเป็นการลดการพึ่งพิงตลาดเดียว การพัฒนาอุตสาหกรรมทางเลือก และการสร้างความชัดเจนในนโยบายภาครัฐ ล้วนสอดคล้องกับหลักการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนอย่างยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
สถานการณ์ปัจจุบันจึงไม่เพียงเป็นวิกฤตเฉพาะหน้า แต่เป็นโอกาสในการทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจชายแดนให้แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อรองรับความท้าทายในอนาคต
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทุบค้าชายแดนเดือนละ 1.4 หมื่นล้าน
- เศรษฐกิจช็อก! ชายแดนกระทบหนัก จากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
- ขัดแย้งไทย-กัมพูชา ฉุดยอดค้าชายแดน-ส่งออกมิ.ย.ร่วงหนัก