นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง. ระบุว่าจะมีการติดตามการส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยในครั้งนี้ หรืออีกความหมายก็คือ จะติดตามดูว่าธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงหรือไม่ ซึ่งธนาคารพาณิชย์อาจจะไม่ปรับลดดอกเบี้ยหรือปรับลงไม่เท่ากับมติของกนง.ก็ได้ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะมีหลายปัจจัยในการพิจารณา ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารออมสินและธอส. ที่มีผล 31 พ.ย. ก็เป็นตัวอย่างที่ดีว่าธนาคารมีต้นทุนและการบริหารทางการเงินที่ต่างออกไป
อันที่จริง การปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ แตกต่างจากการวิเคราะห์ของบรรดาสำนักวิจัยของธนาคารและบรรดานักวิเคราะห์ในตลาดอยู่บ้าง เพราะยังไม่มีสำนักไหนคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งบางสำนักวิจัยคาดว่าน่าจะเริ่มปรับดอกเบี้ยในช่วงเดือนธ.ค. หรือ ต้นปี 2568 ซึ่งไม่ว่าเหตุผลของกนง.จะเป็นอย่างไร แต่ก็ถือว่าผิดความคาดหมายของตลาดไปบ้าง แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับตลาดการเงินของประเทศ
หากย้อนกลับไปดูเกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปีนี้ จะเห็นว่ามีความขัดแย้งในเรื่องนโยบายดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลและกระทรวงการคลัง กับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) โดยฝ่ายการเมืองกดดันธปท.ให้ปรับลดดอกเบี้ยมาโดยตลอด แม้มีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดใหม่ ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ยังเกิดแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองที่ต้องการให้มีการปรับลดดอกเบี้ยลง
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเมื่อพรรคเพื่อไทยเข้าบริหารประเทศจึงกดดันธปท.ในเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งหากย้อนกลับไกลกว่านั้น ตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยในอดีต จะเห็นว่าการกดดันเรื่องการลดดอกเบี้ยอาจจะเป็น “ประเพณีปฏิบัติ” ของวัฒนธรรมการเมืองแบบไทยรักไทยและสืบเนื่องมาถึงเพื่อไทยในปัจจุบัน เพราะเป็นวัฒนธรรมการเมืองแบบประชานิยมที่มักจะแจกจ่ายทรัพยากรไปยังคนในสังคมให้มากที่สุด และดอกเบี้ยก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่จะทำในทุกยุค
แต่หลังจากกนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโบบายเมื่อ 16 ต.ค. 2567 ปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์แทบไม่มีแห่งไหนขยับตามกนง. ยกเว้นธนาคารของรัฐ 2 แห่ง คือ ธนาคารออมสินและธอส. ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และดอกเบี้ยอัตราใหม่ก็ไม่ได้มีผลทันทีเหมือนกนง. แต่ยืดเวลาออกไปอีกครึ่งเดือน เพราะเรื่องดอกเบี้ยไปเกี่ยวข้องกับต้นทุนการเงินและการบริหารของธุรกิจธนาคาร ซึ่งไม่อาจจะทำได้โดยง่าย โดยเฉพาะในยุคที่ธนาคารเผชิญกับความเสี่ยงในหลายด้านจากเศรษฐกิจการเมืองโลก
ที่น่าตั้งคำถาม คือ ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐ ไม่ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยตามกนง. และยังคงเงียบไม่ได้ออกความเห็นเหมือนในอดีต ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมากที่ไม่มีความเห็นใด ๆ จากธนาคารพาณิชย์ มีเพียงความพยายามแก้ต่างและคำอธิบายจากกนง.เท่านั้นว่าไม่เกี่ยวกับแรงกดดันการเมืองและยังมีช่องในการปรับลดดอกเบี้ยลงได้ ซึ่งจะทำให้ภาระหนี้สินของประชาชนลดลง (หากธนาคารพาณิชย์ลดตาม) ซึ่งเหตุผลครั้งนี้ของกนง.แปลกกว่าทุกครั้ง
“อาการนิ่ง”ของบรรดาธนาคารพาณิชย์ เหมือนว่าไม่ค่อยใส่ใจต่อมติกนง.ในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าระบบการเงินของประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ซึ่งธนาคารพาณิชย์มักจะปรับลดดอกเบี้ยตามธปท. และมักจะปรับขึ้นหรือลงในอัตราเดียวกัน แต่ในช่วงหลังบางครัังธนาคารพาณิชย์มีการปรับลงน้อยกว่ากนง. (ซึ่งไม่เคยมีครั้งไหนมากกว่ากนง.) และบางกรณีก็ไม่มีการปรับเลย นั่นหมายความสถาบันการเงินในประเทศปรับไปตามกลไกตลาดทั้งเงินฝากและเงินกู้ (รวมถึงต้นทุน)
ยกตัวอย่างกรณีในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่รัฐบาลและธปท.ขอให้สถาบันการเงินช่วยเหลือเรื่องปรับโครงสร้างหนี้และดอกเบี้ย ก็ต้องยอมแลกมาด้วยการลดส่งเงินเข้าสถาบันประกันเงินฝาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์มีต้นทุนในการดำเนินการ และจะต้องบริหารงานอย่างมืออาชีพเพื่อความอยู่รอดขององค์กร ดังนั้น การจะมาขอให้ “ร่วมด้วยช่วยกัน” เป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ และยิ่งธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นหากบริหารไม่เป็นมืออาชีพ
ดังนั้นเรื่องดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน ก็เช่นเดียวกับบ้านและคอนโด ซึ่งคนในรัฐบาลก็มีธุรกิจนี้อยู่หลายคน ไม่อาจ “ลดแลกแจกแถม” ได้ตามใจชอบ แต่เป็นเรื่องของกลไกตลาดและความเป็นธรรมของกลไกเหล่านั้น แทนที่รัฐบาลจะมุ่งไปที่การสั่งทั้งทางตรง-ทางอ้อม ให้ลดดอกเบี้ย (ซึ่งก็น่าเห็นใจนักการเมืองที่ชอบทำอะไรฉาบฉวย) รัฐบาลควรไปตรวจสอบกลไกต่าง ๆ ของระบบการเงินว่าทำงานได้ดีแค่ไหน และเกิดความเป็นธรรมหรือไม่ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าดอกเบี้ยมากนัก