ในวันที่ 29 พ.ค. 2568 แคนดิเดต ผอ. ที่ผ่านการสรรหาจะเข้าสอบสัมภาษณ์กับคณะกรรมการนโยบายฯ และรับการพิจารณาแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่ง ผอ.ไทยพีบีเอส คนใหม่ จะเริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 24 ก.ค. 2568 และจะอยู่ในระยะเวลาทดลองปฏิบัติงาน 180 วัน ทุก ๆ ปีจะมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน 1 ครั้ง และมีวาระอยู่ถึง 4 ปี
ก่อนที่ผู้สมัครสอบสัมภาษณ์ คณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส ได้เปิดเผยเกณฑ์การประเมินผู้สมัคร โดยมีหัวข้อการประเมิน 4 ด้าน ด้านละ 25 คะแนน
- ด้านความพร้อมของทีมงานบริหาร
- ด้านการบริหารสื่อสาธารณะ
- ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรและเทคโนโลยี
- ด้านการบริหารจัดการธรรมาภิบาลและความเสี่ยง
โดยแบ่งการสัมภาษณ์ออกเป็น 2 รอบ รอบแรกสัมภาษณ์เกี่ยวกับทีมงานและความพร้อมในการบริหาร รอบที่ 2 ประเมินภาคปฏิบัติด้านการดำเนินงานตามบทบาทหน้าที่และภารกิจของผู้อำนวยการทั้ง 3 ด้าน
จะเห็นได้ว่า กว่าไทยพีบีเอสจะได้ ผอ.คนใหม่สักที มีการเปิดเผยหลักเกณฑ์และขั้นตอนอย่างละเอียด ทั้งนี้ เพื่อแสดงความโปร่งใสและความเป็นธรรม เปิดเผยให้เห็นกระบวนการสรรหาที่ควรจะเป็น ด้วยความหวังว่าจะเป็นตัวอย่างให้กับองค์กรหน่วยงานอื่น ๆ เปิดเผยกระบวนการคัดสรรแต่งตั้ง ผอ. ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรอิสระ เพราะองค์กรเหล่านี้สามารถให้คุณให้โทษได้ และที่สำคัญดำเนินการบนภาษีประชาชน
ดังนั้น การแต่งตั้งผู้นำขององค์กรเหล่านี้จึงไม่ใช่เป็นกิจการเฉพาะภายในองค์กรนั้น การเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้ แม้ว่าประชาชนไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง แต่ประชาชนสามารถรับรู้ ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ได้
แหล่งรายได้ของไทยพีบีเอส
ไทยพีบีเอส เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงใด ๆ รับงบประมาณเงินทุนอุดหนุนหลัก ราว 2,000 ล้านบาท ที่มาจากการจัดเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่เพิ่มเติมในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี ตาม พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 และไทยพีบีเอสสามารถรับเงินหรือทรัพย์สินอื่นจากผู้สนับสนุนได้ แต่ต้องไม่ทำให้องค์กรขาดความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ในอีกความหมายหนึ่ง ไทยพีบีเอสไม่ขึ้นต่ออำนาจรัฐและนายทุน มีอิสรภาพในการนำเสนอข่าวสารเนื้อหาประเด็นต่าง ๆ ที่สำนักข่าวอื่นไม่สามารถทำได้
ไทยพีบีเอส จึงเป็นสื่อสาธารณะและสมบัติของสาธารณะ (Public Goods) ในการดำเนินกิจการจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องโปร่งใส เป็นไปอย่างคุ้มค่าภาษีประชาชน และในการบริหารงานบุคคลต้องเป็นไปตาม ระบบคุณธรรม (Merit System) ใช้หลักความสามารถ ความยุติธรรม ความเสมอภาค ตั้งแต่การสรรหา บรรจุแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่ง และพ้นจากตำแหน่งหน้าที่โดยปราศจากการแทรกแซงใด ๆ
ดังนั้น การสรรหา ผอ. ผู้กำหนดทิศทาง บริหารองค์กร กระบวนการสรรหาจึงต้องได้รับการตรวจสอบ มีความโปร่งใสไปด้วย เพื่อให้สาธารณชนรับรู้ว่าผู้ที่กำหนดทิศทางการใช้งบประมาณจะสามารถใช้อย่างคุ้มค่า โปร่งใส ตรวจสอบได้เช่นเดียวกับที่เปิดเผย แผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีที่กำลังดำเนินการมาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้ ทั้งเนื้อหารายการที่นำเสนอ รายได้ งบประมาณ ไปจนถึงการสรรหา ผอ. ของไทยพีบีเอสนั้น จึงเป็นที่จับตามอง พูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ไทยพีบีเอสไม่ใช่เพียงสำนักข่าวเดียวถูกจับตามองและวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะสื่อสาธารณะ ยังมีอีกสื่อสาธารณะอื่นที่ถูกประชาชนจับตามองเช่นกัน
สื่อสาธารณะตามกฎหมาย
ตาม พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ได้กำหนดใบอนุญาตสื่อออกเป็น 3 ประเภท คือ บริการสาธารณะ บริการชุมชน และธุรกิจ ซึ่งสื่อบริการสาธารณะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดเพราะใช้วิธีคัดเลือกคุณสมบัติ (Beauty Contest) ไม่ใช่การประมูลแบบสื่อธุรกิจ และยังไม่ได้ข้อยุติในประเด็นด้านเงื่อนไขและกระบวนการในการคัดเลือก สำหรับสื่อบริการสาธารณะเป็น 3 ประเภทได้แก่
- บริการสาธารณะประเภทที่ 1 ได้รับอนุญาตให้บริการเพื่อการส่งเสริมความรู้ การศึกษา ศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม การเกษตร และการส่งเสริมอาชีพอื่น ๆ สุขภาพ อนามัย กีฬา หรือการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของ ประชาชน ซึ่งไทยพีบีเอสได้รับใบอนุญาตประเภทนี้
- บริการสาธารณะประเภทที่ 2 เพื่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกได้รับใบอนุญาตประเภทนี้
- บริการสาธารณะประเภทที่ 3 เพื่อการกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และรัฐสภากับประชาชน การกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อการส่งเสริมสนับสนุนในการเผยแพร่และให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข บริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะแก่คนพิการ คนด้อยโอกาส หรือกลุ่มความสนใจที่มีกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือ บริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะอื่น ซึ่งสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยได้รับใบอนุญาตประเภทนี้
สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5)
สื่ออีกแห่งของไทยที่สาธารณชนให้ความสนใจ เป็นที่พูดถึงและจับตามองอยู่เสมอ คือ ททบ. 5 ที่นิยามตนเองว่าเป็น “ทีวีสาธารณะเพื่อความมั่นคงแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย”
อันที่จริง ททบ.5 เป็นสถานีโทรทัศน์ของกองทัพบก เป็นหน่วยงานของรัฐและผู้ประกอบกิจการตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อความมั่นคงของรัฐ และความปลอดภัยสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ททบ.5 นำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเพียงร้อยละ 8 เท่านั้นของรายการทั้งหมด
ปัจจุบัน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ ททบ.5 คือ พล.ท. กิตติ สมสนั่น ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2567 ภายใต้การบังคับบัญชาของประธานกรรมการบริหารกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์กองทัพบกซึ่งเป็นตำแหน่งของผู้บัญชาการทหารบกตามโครงสร้างกองทัพ ในการเลือก ผอ. ททบ.5 นั้น เป็นไปตาม ผบ.ทบ. ผู้ออกคำสั่งอนุมัติแต่งตั้งหรือปลดให้พ้นจากตำแหน่ง เช่นในกรณี พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. เซ็นคำสั่งอนุมัติให้ พล.อ. รังษี กิติญาณทรัพย์ ผอ. ททบ.5 พ้นจากตำแหน่ง แล้วอนุมัติแต่งตั้งให้ พล.ท. วิสันติ สระศรีดา อดีตเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ทำหน้าที่แทนในวัยที่ 7 เม.ย. 2565
ขณะเดียวกัน ททบ. 5 เองยังถูกตั้งข้อสังเกตถึงการไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการจัดสรรงบประมาณต่อสาธารณะ และความไม่โปร่งใสในการบริหารจัดการรายได้ ดังที่เคยถูก สส. อภิปรายในรัฐสภา ในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติเมื่อวันที่ 17-18 ก.พ. 2565 เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสหลังเปิดให้บริษัทเอกชนเข้าร่วมผลิตรายการ
จากการประชุมกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจต่าง ๆ ของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพ.ศ. 2567 พบว่า ททบ.5 มีสถานะทางการเงินอยู่ในระดับดูแลตัวเองได้ เพราะไม่เคยของบประมาณแผ่นดินมาก่อน แต่หลังจาก พ.ศ.2560 ที่มีกำไร 180 ล้านบาท ททบ.5 ก็ขาดทุนมาตลอดตั้งแต่ พ.ศ. 2561 ซึ่งอาจจะส่งผลให้เป็นภาระงบประมาณต่อรัฐบาลในอนาคต แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เปิดเผยจำนวนตัวเลขที่ขาดทุน
และอีกความคลุมเครือที่ กมธ.ศึกษาธุรกิจกองทัพฯ พบคือเรื่องที่ ผบ.ทบ. ได้ตั้งบริษัท ททบ.5 จำกัด ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นนิติบุคคล ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท RTA Entertainment จำกัด ใน พ.ศ. 2547 ก่อนจะเปลี่ยนชื่ออีกครั้งมาเป็น บริษัท RTA Enterprise จำกัด ภายหลังใน พ.ศ. 2564 (RTA ย่อมาจากคำว่า Royal Thai Army) ทั้งกองทัพบก ททบ.5 และ RTA มีผู้บริหารระดับสูงเป็นรายเดียวกัน มีรายชื่อผู้ถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 50 เป็นข้าราชการทหาร และมีหุ้นที่ถือในนามกองทัพบก และแม้ว่ากองทัพไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการในเชิงพาณิชย์หรือถือหุ้นในบริษัทเอกชน แต่กองทัพบกสนับสนุน RTA ด้วยการให้ยืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ย ถือได้ว่าเป็นการนำภาษีของประชาชนไปใช้เพื่อทำธุรกิจและตรวจสอบไม่ได้
ปัจจุบัน RTA เป็นหนี้ ททบ.5 เป็นจำนวนเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงมาแล้ว หลังจากมีการแก้ไขตัวเลขหนี้สินเรื่อยมา เพียงแต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่มาของหนี้สินและการจ่ายหนี้ อีกทั้ง สตง. ไม่ได้ตรวจสอบบัญชีงบการเงินของ ททบ.5 มาก่อน มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในพ.ศ. 2542 ซึ่งทาง สตง.
สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท. /NBT)
สทท. เป็นหน่วยงานสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐบาล สังกัดกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแล บริหารงานแบบองค์กรราชการ ปัจจุบันมี ศุภพงษ์ เชาวน์แล่น เป็น ผอ. คนปัจจุบัน ซึ่งมาจากการคัดเลือกและพิจารณาคุณสมบัติความเหมาะสมในกรอบระเบียบราชการ
เนื่องจาก ผอ. สทท. เป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือน ประเภทอำนวยการระดับสูง (หรือ C9 เดิม) มีเส้นทางเติบโตตามระบบราชการภายในกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง มาจากการคัดสรรเมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วนและสำนักนายกฯ เปิดรับสมัครคัดสรร ผู้สมัครตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง จะสามารถสมัครสอบด้วยการส่งผลงาน เพื่อให้คณะกรรมการจากสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประเมิน คัดสรร และสัมภาษณ์แสดงวิสัยทัศน์ และเมื่อได้ขึ้นเป็นอำนวยการสูงแล้วและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ จะมีโอกาสที่อธิบดีจะพิจารณาสั่งย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผอ.สทท.
โดยปกติของกรมประชาสัมพันธ์ ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง มี 2 ตำแหน่ง กำกับดูแลงานสื่อหลัก คือ ผอ.สทท.(งานโทรทัศน์) กับ ผอ.สวท.(งานวิทยุ) โดยมาก 2 ตำแหน่งนี้ จะมาจากการย้าย ผอ.กอง ผอ.สำนักที่อยู่ประเภทอำนวยการระดับสูงเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้ไปสะสมประสบการณ์งานบริหารสื่อในระดับภูมิภาคหรือในระดับสำนักกองมาแล้ว อธิบดีจึงจะพิจารณาย้ายมาเป็น ผอ.สทท. เช่น กรณี สุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ปัจจุบัน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักประชาสัมพันธ์ เขต 5 สุราษฎร์ธานี ได้รับคำสั่งให้ ย้ายมา ดำรงตำแหน่ง ผอ.สทท. เช่นเดียวกับ ผอ.สทท. คนปัจจุบันศุภพงษ์ เชาวน์แล่น ย้ายมาจาก ผอ.สำนักประชาสัมพันธ์ เขต 5 สุราษฎรธานี
แหล่งรายได้ของ สทท. จัดสรรจากงบประมาณของกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งงบประมาณประจำปี 2568 ได้รับจัดสรร 171 ล้านบาท (จากงบฯ กรมประชาสัมพันธ์ ราว 2,400 ล้านบาท) สสท. มีงบฯ ที่ใช้ผลิตสื่อราว 135 ล้านบาท ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว เกิดจากการปรับโครงสร้าง ให้ NBT Connext และ NBT World ซึ่งแต่เดิมอยู่กับสำนักข่าวแห่งชาติ โอนภารกิจและบุคลากรมาอยู่ในสังกัด สสท. อีกทั้งงบผลิตสื่อ ของ สสท. ยังต้องแบ่งสัดส่วนให้ สสท. ภูมิภาค สถานีวิทยุบางส่วน ประชาสัมพันธ์จังหวัด และงานถ่ายทอดของช่างเทคนิคด้วย และเป็นงบประมาณที่ลดลงจากปี 2567 ที่ได้รับจัดสรร 173 ล้านบาท (จากงบกรมกรมประชาสัมพันธ์ราว 2,400 ล้านบาท) ซึ่งใช้เพื่อผลิตสื่อ 112 ล้านบาท
การคัดสรรผู้บริหารองค์กรอิสระ
องค์กรอิสระ เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งผลกระทบต่อการเมืองภาครัฐและประชาชนโดยตรง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
หากแต่กรรมการองค์กรอิสระต่าง ๆ รวมถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มาจากการคัดเลือกสรรหา โดยคณะกรรมการสรรหาที่เลือกกันมาเอง แล้วให้วุฒิสภาซึ่งประกอบด้วย สว. 200 คน ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นผู้ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมและสามารถจับตาตรวจสอบได้
ขณะเดียวกันคณะกรรมการคัดสรรก็มาจากตำแหน่งต่าง ๆ ที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนด เช่นประธานศาลฎีกา, ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ขององค์กรอิสระนั้น ๆ เช่น คณะกรรมการคัดสรรกรรมการ กสม. ต้องมีผู้แทนองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน, ผู้แทนสภาทนายความ, ผู้แทนสภาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข, ผู้แทนสภาวิชาชีพสื่อมวลชน อาจารย์จากสถาบันอุดมศึกษาที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน
กระบวนการคัดสรรนั้น สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภามีหน้าที่รับผิดชอบ เปิดรับสมัครและตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ทั้งคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละตำแหน่ง คุณสมบัติทั่วไป และต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วจัดทำเอกสารหลักฐานประกอบการสมัครเสนอต่อคณะกรรมการสรรหา
สำหรับคณะกรรมการสรรหามีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์รูปแบบสัมภาษณ์หรือการรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์ในการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัคร และลงคะแนนเลือกประเมินผู้สมัครแบบเปิดเผย พร้อมบันทึกเหตุผลในการเลือก ผู้สมัครต้องได้รับคะแนนเสียงสองในสามของจำนวนคณะกรรมการสรรหาทั้งหมด สำหรับองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ผู้สมัครตุลาการจะถูกคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจํานวนทั้งหมด
เมื่อคณะกรรมการสรรหาคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว จะส่งให้วุฒิสภาเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม ภายใน 60 วันอย่างเป็นความลับ เสร็จจึงให้ สว.ให้ความเห็นชอบ ซึ่งจะต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ สว. ทั้งหมด หาก สว. ไม่เห็นชอบผู้ใด ต้องส่งรายชื่อผู้สมัครนั้นกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา เพื่อให้มีการสรรหาคัดเลือกใหม่อีกครั้ง แล้วเสนอกลับมายังวุฒิสภาอีกครั้ง โดยผู้ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาจะไม่สามารถเข้ารับการสรรหาได้อีก เมื่อ สว.เห็นชอบเสร็จสิ้นจึงเข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งต่อไป กลายเป็นการแต่งตั้งบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ให้คุณให้โทษทางการเมืองภาครัฐและประชาชน โดยที่ประชาชนไม่สามารถเข้ามาร่วมมีส่วนร่วมหรืออย่างน้อยที่สุดตรวจสอบความโปร่งใส
ยิ่งเผยแพร่ขั้นตอนการสรรหา ผอ. ยิ่งยกระดับประสิทธิภาพองค์กร
เนื่องจากการบริหารองค์กรรัฐที่ใช้ภาษีประชาชนต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม การคัดสรร คัดเลือกคนเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้จึงควรมีการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบและติดตาม การแสดงวิสัยทัศน์และนโยบายต่อสาธารณชนถือเป็นอีกกระบวนการสำคัญ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ว่าบุคคลที่จะมาทำหน้าที่แทนเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับการเลือกนายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ที่ลงสมัครก็ต้องวิสัยทัศน์ นโยบายให้ประชาชนรับรู้
สุภอรรถ โบสุวรรณ อนุกรรมาธิการพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการใช้งบประมาณ และกรรมการผู้จัดการ HAND Social Enterprise บริษัท แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า
“เพราะโดยหลักการ การสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งที่รับผิดรับชอบต่อประชาชน ได้รับการแต่งตั้งในราชกิจจานุเบกษา หรือบุคคลที่จะบริหารในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรที่ได้รับมอบหมายอำนาจจากประชาชน ถือเป็นองค์กรที่ยึดโยงกับอำนาจประชาชนทั้งสิ้น กระบวนการสรรหาจึงต้องเปิดเผยและโปร่งใส เพราะเป็นการคัดเลือกบุคคลที่จะใช้อำนาจตัดสินใจแทนประชาชน ให้คุณให้โทษกับประชาชนได้ แม้แต่การซื้อจัดซื้อจัดจ้างก็ใช้เงินภาษีของประชาชน อีกทั้งกรรมการสรรหาที่ทำหน้าที่เลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่ง ก็ต้องยึดโยงกับประชาชนด้วยเช่นกัน
บางองค์กรมีการเปิดเผยกระบวนการสรรหาให้ประชาชนรับรู้เช่นกัน อย่างการสรรหาอธิการบดีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น เสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่ง และลงคะแนนหยั่งเสียงจากประชาคม มีการเชิญประชาคมมาร่วมรับฟังการแถลงวิสัยทัศน์ นโยบาย การตอบคำถาม และเผยแพร่แผนการดำเนินงานบริหาร”
ทั้งนี้ เนื่องจากกลไกสรรหาผู้บริหารที่เปิดเผยส่งผลกับการบริหารองค์กรที่มีประสิทธิภาพ และมาตรฐานที่โปร่งใสในการสรรหาจะช่วยลดปัญหา “ระบบอุปถัมภ์” ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยได้ ระบบอุปถัมภ์ที่ว่ามีลักษณะคือ การคัดเลือกบุคคลจากสายสัมพันธ์ทางการเมือง (คอนเน็กชัน) บุคคลที่ผู้แต่งตั้งสามารถควบคุมได้ บุคคลใกล้ชิด กระทั่งญาติ เพื่อเข้ามาทำงานหรือเพื่อให้รับผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติและความเหมาะสม
การเปิดเผยอย่างโปร่งใสในทุกกระบวนการ ช่วยลดโอกาสในการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจอื่นในการฝากคนหรือแต่งตั้งบุคคลที่เป็นพวกพ้องที่สามารถควบคุมได้ ทำให้องค์กรได้บุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นการเพิ่มความไว้วางใจจากสาธารณชนได้อีกด้วย และการไม่เปิดเผยว่ากรรมการฯ ท่านไหนเลือกผู้สมัครท่านไหน เป็นไปเพื่อให้กรรมการฯ ได้มีอิสระในการพิจารณาเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมกับองค์กรอย่างแท้จริง
สุภอรรถ กล่าวถึงการสรรหา ผอ.ของไทยพีบีเอสว่า ไทยพีบีเอส ถือเป็นตัวอย่างของการเผยแพร่ขั้นตอนกระบวนการสรรหา อย่างไรก็ตามยังคงมีความท้าทายอีกเรื่องหนึ่งคือ การขยายช่องทางเผยแพร่การสรรหา ผอ.ไปยังแพลต์ฟอร์มอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
“ตรงนี้อาจมองได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบของไทยพีบีเอส เพราะว่าเป็นสื่ออยู่แล้ว มีช่องทางอุปกรณ์เทคนิคในการเผยแพร่ ขณะที่หน่วยงานองค์กรอื่น ๆ ไม่ได้ทำหน้าที่สื่อโดยเฉพาะ แต่ถึงกระนั้นหน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้นก็มีงบประมาณสำหรับประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว ความสำคัญจึงอยู่ที่ความตั้งใจที่ดีในการเปิดเผยกระบวนการสรรหาต่อสาธารณชนต่างหาก ไม่ใช่เพียงการเผยแพร่การสรรหาเป็นเอกสารราชการลงในเว็บไซต์องค์กรเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามระเบียบ
หน่วยงานอื่น ๆ อาจใช้ไทยพีบีเอสเป็นมาตรฐานหรือตัวอย่างในการสรรหาผู้นำองค์กรเพื่อให้ประชาชนรับรู้ถึงขึ้นตอนได้ ซึ่งควรเริ่มจากองค์กรที่ต้องมีความรับผิดรับชอบกับประชาชน ยิ่งเปิดเผยกระบวนการสรรหาให้ประชาชนรับรู้จับตายิ่งมีผลดีกับองค์กรนั้น ๆ เพราะสร้างความใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น”
มากไปกว่านั้น สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้กระบวนการสรรหามีความโปร่งใส ช่วยเผยแพร่ให้สาธารณชนรับรู้ถึงการสรรหาองค์กรต่าง ๆ มากขึ้น จะเห็นได้ว่า ในบางองค์กรแม้จะไม่มีการเปิดเผยกระบวนการสรรหาอย่างละเอียดในการแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่บางสำนักข่าวรายงานถึงความคืบหน้าการสรรหาในบางกรณี เช่นกรณีผู้สมัครคนใดไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา หรือมีแนวโน้มที่จะได้รับการแต่งตั้ง หากแต่ยังไม่เป็นที่สนใจของสาธารณชนมากนัก
ดังนั้น การจับตาเฝ้าระวังของประชาชนจึงมีความสำคัญไม่แพ้สื่อมวลชน และถือว่ามีพลังอย่างยิ่งในการช่วยกันตรวจสอบคุณสมบัติว่าเป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่ เช่นผู้สมัครเป็นบุคคลล้มละลาย อายุไม่ถึงเกณฑ์พิจารณาหรือไม่ หรือเคยมีคดีอะไรมาบ้าง ซึ่งเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนเองด้วยเช่นกัน
การสรรหาในองค์กรอิสระกับการมีส่วนร่วมของประชาชน
การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหาภายในองค์กรอิสระ อาจไม่สามารถทำได้เต็มกับทุกองค์กร เนื่องจากหลักการและหน้าที่ ประกอบการรัฐธรรมนูญได้กำหนดขั้นตอนไว้แล้ว ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
ไทยพีบีเอสถือว่าเป็นสื่อสาธารณะ มีทิศทางและหน้าที่ของสื่อสาธารณะ จึงต้องมีกระบวนการสรรหา ผอ. ที่เปิดเผย ชอบธรรม ให้สาธารณชนได้มีส่วนร่วม หากจะนำมาเป็นต้นแบบนี้ไปใช้กับองค์กรอื่น ๆ ต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์และหลักการขององค์กร และตัวบทกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำหนดองค์กรนั้น ๆ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของตำแหน่งนั้น ๆ ที่จะสรรหาบุคคลมารับผิดชอบ
เช่นกระบวนการสรรหาของแต่ละตำแหน่งในระบบราชการ การบรรจุแต่งตั้งอธิบดี อาจไม่เหมาะสมกับการใช้รูปแบบเดียวกับไทยพีบีเอส แต่สามารถใช้กระบวนการทำนองเดียวกันได้ ด้วยการนำรูปแบบของไทยพีบีเอสไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับองค์กร เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมได้บ้าง แต่ไม่ต้องถึง 100 เปอร์เซนต์อย่างที่ไทยพีบีเอสทำ
สำหรับองค์กรอิสระ ตามรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้แล้วว่า วุฒิสภามีหน้าที่ให้พิจารณาเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่ง เช่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือบุคคลดำรงตำแหน่งตามกฎหมายเช่น ตุลาการศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด ก็อาจจะไม่สามารถมีกระบวนการสรรหาอย่างที่ไทยพีบีเอสทำ ประชาชนไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้เต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาด้วยว่า ที่มาของ สว. เป็นตัวแทนประชาชนจริง ๆ แล้วหรือไม่
“การจะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสรรหาขององค์กรอิสระ ต้องพิจารณาด้วยว่าแต่ละองค์กรอิสระมีบทบาทหน้าที่อย่างไร บางคณะกรรมการองค์อิสระต้องการความเชี่ยวชาญพิเศษในเชิงวิชาชีพ จึงต้องการความเป็นอิสระสูงมากในการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่ง บางองค์กรอิสระมีบทบาทที่ยึดโยงกับประชาชน มีลักษณะงานที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณะสูง
หรือมีหลักการที่คล้ายคลึงกับไทยพีบีเอส เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของประชาชนโดยตรง หรือ กสทช. ที่สัมพันธ์กับการบริการผู้บริโภค ก็ต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ด้วยการหานวัตกรรมเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมหรือการรับรู้ของประชาชน ให้ประชาชนรับทราบวิสัยทัศน์ แผนการดำเนินการ อาจไม่ต้องถึงขั้นถ่ายทอดสดแสดงวิสัยทัศน์ก็ได้” ชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ คณะกรรมการสรรหาฯ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ผอ.ใหม่ใกล้ฉัน : การสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอส ที่ใคร ๆ ก็จับตา
-
‘ความหวัง’ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากคำถามรอบแสดงวิสัยทัศน์ ว่าที่ ผอ.ไทยพีบีเอส
ชมวิดีโอย้อนหลัง การแสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการ ส.ส.ท. | 12 พ.ค. 68