ก่อนประชาชนจะร่วงหล่น จนเหลือแต่เมืองร้างเพราะปัญหาสุขภาพจิต
ปัจจุบัน ปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ และเร่งหาแนวทางจัดการเพื่อรับมือกับปัญหานี้ รวมทั้งในไทยเองก็พบข้อมูลจากรายงานสถิติผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทยล่าสุดโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่าในช่วงไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 มีผู้ป่วยเข้ารับบริการด้านจิตเวชมากขึ้น เป็นจำนวน 2.9 ล้านคน แต่ความน่ากังวลก็คือ อาจมีผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตในไทยมากถึง 10 ล้านคน ซึ่งสัดส่วนของผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตในไทยจึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
เมื่อมองปัญหาสุขภาพจิตในไทยเราจะพบว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องปัจเจกหรือเป็นเพียงแค่การเจ็บป่วยเฉพาะบุคคลเท่านั้น เพราะนอกจากสาเหตุทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลต่อการเจ็บป่วยทางจิตใจได้แล้ว สภาพสังคมสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วยทางจิตใจได้เช่นกันและดูเหมือนว่า เมืองที่เรากำลังอาศัยเป็นที่พักพิงกลับถูกละเลยในกระบวนการวางแผนและพัฒนาเมืองที่อุ้มชูสุขภาพจิตของประชากร เช่น การไม่มีสวัสดิการพื้นฐาน ความไม่พอกิน ค่าครองชีพที่สูงขึ้นไม่ว่าจะหันไปทางไหน เราจะพบเจอทั้งความเครียดจากการทำงาน การเดินทางที่วุ่นวาย ความเหงาและความรู้สึกโดดเดี่ยวของคนเมือง สภาพเศรษฐกิจ การแข่งขัน ความกดดันต่าง ๆ เมื่อรวมกันแล้ว สามารถส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพจิตของคนในเมืองได้ เพราะฉะนั้นการสร้างเมืองที่มีนโยบายสนับสนุนสุขภาพจิตประชากรได้ จึงเป็นอีกสิ่งที่เราต้องให้จริงจังและเร่งด่วนกว่านี้ เพื่อไม่ให้เมืองต้องถูกทิ้งร้าง เมื่อชีวิตของประชาชนทยอยร่วงหล่นจากไป
จากข้อมูลที่น่าสนใจอีกข้อก็คือ ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้ ประชาชนกว่า 7.5 แสนคน เข้าทำการประเมินสุขภาพจิตตนเอง (Mental Health Check In) ของกรมสุขภาพจิต พบว่า จำนวนของผู้ที่มีความเครียดสูงถึงร้อยละ 15.5 เสี่ยงซึมเศร้าร้อยละ 17.2 และเสี่ยงฆ่าตัวตายร้อยละ 10.6 ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนของคนที่เป็นโรคทางจิตเวชจะพบว่ามีผู้ที่มีอาการของโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้าสูงพอ ๆ กับผู้ที่มีใช้สารเสพติด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยจำนวนมาก มีปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นจากปัจจัยอื่น ๆ และเมื่อเปิดข้อมูลสถิติในรายงานการฆ่าตัวตายจากกรมสุขภาพจิต เรายังพบว่า ประชากรไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นทุกปี โดยช่วงอายุที่มีการฆ่าตัวตายมากที่สุด คือ 30 – 39 แต่ตัวเลขนี้ก็ไม่ได้แปลว่าในช่วงวัยอื่นจะไม่พบปัญหาสุขภาพจิต เพียงแค่มีปัญหาหรือสาเหตุที่แตกต่างกันเท่านั้น คำถามต่อมาคือ แล้วที่ผ่านเราเคยมีนโยบายอะไรที่สอดรับกับปัญหาสุขภาพจิตของคนทุกช่วงวัย ตลอดจนการเข้าถึงการรับบริการที่เหมาะสมหรือไม่
หากมองเรื่องปัญหาสุขภาพจิตในบริบทของเมือง เราคงต้องย้อนกลับมาดูว่านโยบาย หรืออะไรบ้างที่ยังไม่ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการปัญหาสุขภาพจิตที่มากพอ เช่น งบประมาณปี 2568 ของกรมสุขภาพจิตที่ถูกตัดเหลือแค่ 1.8% ของงบประมาณกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด ซึ่งไม่สอดคล้องกับจำนวนคนไทยที่มีปัญหาสุขภาพจิตในปัจจุบัน และอาจไม่ตอบโจทย์ ทั้งในการแก้ไขปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาวได้เลย แม้ว่าจะมีหน่วยงานที่พยายามผลักดันโครงการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญหรือการเยียวยาที่เหมาะสม แต่ก็ยังขาดการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพออยู่ดี ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงการที่ไม่มีงบประมาณจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่เพียงพอตามมาด้วย เกิดเป็นปัญหาคนไข้ล้น หมอไม่พอ รอคิวนาน หรือแม้กระทั่งหมอเองที่ต้องทำงานหนักมากขึ้น จนกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชได้ในที่สุด
แน่นอนว่าเมื่อคนมีปัญหาสุขภาพจิต ย่อมส่งผลต่อศักยภาพในตัวเองที่ลดลงตามมา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ การคิด การจดจำ การมองเห็นคุณค่าในตัวเองที่ลดต่ำลงไปด้วย ซึ่งเป็นภาพรวมของประสิทธิภาพในการเรียน การทำงานที่ลดลง ส่งผลต่อการเกิดปัญหาต่อการพัฒนาเมืองตามมา ไม่ว่าจะเป็น การเกิดอาชญากรรมที่รุนแรงจากผลกระทบของสุขภาพจิต ความรู้สึกปลอดภัยในการใช้ชีวิตที่หดหาย การต้องแสวงหาความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะวัยทำงานที่ต้องทำงานหนักขึ้น การรู้สึกไร้คุณค่าและไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมของวัยเกษียณ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศที่ถดถอย เพราะถ้าคนป่วยแปลว่าทรัพยากรหรือกำลังแรงงานที่จะผลักดันประเทศก็ลดลงเกิดผลกระทบต่อเนื่องกันคล้ายกับโดมิโนที่ล้มลงไปเรื่อย ๆ และเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอีกว่า ทุก ๆ 2 ชั่วโมงจะมีประชากรที่ร่วงหล่นเพราะฆ่าตัวตายอย่างน้อย 1 คน โดยเฉลี่ยก็ถึงวันละ 14 คนเลยทีเดียว
โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยก็คือ เราจะสร้างเมืองอย่างไรให้พร้อมโอบรับประชาชน เพื่อลดการเกิดปัญหาสุขภาพจิตของทุกช่วงวัยในอนาคตได้ และจะดีกว่าไหมถ้าเรามีนโยบายเหล่านี้ ที่ช่วยสะท้อนถึงความจริงจังในการแก้ไขปัญหา และเยียวยา เพื่อให้เกิด Well-being ของประชาชนทุกด้าน รวมทั้งสร้างแนวทางที่จะทำให้ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้ามาร่วมมือกันก้าวข้ามปัญหานี้ไปด้วยกันได้ ดังนี้
- นโยบายการสร้างกรอบวงเงินงบประมาณจัดสรรเพิ่มงบประมาณเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่เพียงพอ ซึ่งในปัจจุบันเราจะพบปัญหานี้จากการเข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตที่ต้องรอคิวนานหลายเดือน กว่าจะได้นัดพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาของโรงพยาบาล ระยะเวลาที่ใช้ในการรอคิวต่อวัน ทำให้บางครั้งเวลาที่จะได้เข้ารับการรักษาไม่เต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่ใช่ทุกจังหวัด หรือทุกโรงพยาบาลจะมีจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาประจำการ ทำให้การเข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตยังคงเข้าถึงได้ยาก และไม่สะดวก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายที่ยังคงไม่สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาการจัดสรรบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่สอดรับกับจำนวนของผู้ป่วย และอาจส่งผลกระทบไปยังบุคลากรเหล่านี้ที่ต้องทำงานหนักขึ้นอีกด้วย
- นโยบายที่บูรณาการสุขภาพจิตเข้าไปในแผนพัฒนาเมือง เช่น การออกแบบพื้นที่และสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในเมือง ไม่ว่าจะเป็นการมีพื้นที่สีเขียว การมีพื้นที่ตรงกลางสำหรับการเข้าถึงการเยียวยา หรือพื้นที่ที่สามารถเป็นพื้นที่ชุมชนให้คนสามารถมาพักผ่อนหย่อนใจ รวมทั้งพื้นที่ที่สร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยในการใช้ชีวิตให้กับประชาชน นอกจากนี้ยังต้องผลักดันนโยบายเรื่องขนส่งสาธารณะที่ต้องสะดวกมากขึ้น เพื่อลดความเครียดจากการเดินทาง หรือการจราจรที่แออัดเกินความจำเป็นได้
- นโยบายด้านสิทธิและสวัสดิการแรงงานที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับงานทุกรูปแบบ เพื่อทุกคนได้มีเวลาพักผ่อน ลดแรงเสียดทานจากความเครียดที่ต้องเจอในแต่ละวัน และการส่งเสริมสวัสดิการด้านสุขภาพจิตให้กับทุกองค์กร
- การสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการมีสุขภาพจิตที่ดี เช่น เมืองที่ไม่มีมลพิษ มีการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม รู้สึกปลอดภัยกับอากาศที่หายใจ โดยเฉพาะปัญหา M.2.5 ที่เป็นอีกหนึ่งในสาเหตุของการเจ็บป่วยทางจิตใจได้ด้วย
- การผลักดันให้มีศูนย์เฝ้าระวังความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพจิตในทุกระดับ เช่น โรงเรียน ชุมชน ไปจนถึงเครือข่ายผู้สูงวัย ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางของการป้องกัน และลดความเสี่ยงของการเกิดการฆ่าตัวตายได้ หรือจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอต่อการสนับสนุนโครงการอื่น ๆ เพื่อให้การดำเนินการถูกขับเคลื่อน และลดภาระแพทย์ หรือโรงพยาบาลลงได้ด้วย
- นโยบายด้านสิทธิ และเสรีภาพ ที่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ลดอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่คุกคามชีวิตประชาชนหรือการตรวจสอบการใช้อำนาจทางกฎหมายในทางไม่ชอบในการข่มขู่ หรือข่มปราบชีวิตพลเมือง เพราะชีวิตที่ถูกลิดรอนเสรีภาพ เป็นสิ่งที่สะท้อนความสุขสงบของเมืองได้ด้วยเช่นกัน
การสร้างเมืองที่โอบรับสุขภาพจิตได้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการต่อต้านคอร์รัปชันด้วย ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการจัดการทรัพยากรที่ไม่โปร่งใสหรือไม่เพียงพอ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาคอร์รัปชันที่ทำให้เงินงบประมาณไม่ถูกนำไปใช้ในที่ที่เหมาะสม เช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อบุคลากรทางการแพทย์และการเข้าถึงการรักษาทางจิตเวช
การมีนโยบายที่เปิดเผยและโปร่งใสในการจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าเชื่อถือและลดความเครียดจากการรู้สึกถูกทอดทิ้งหรือไม่ได้รับการดูแลอย่างเพียงพอ หากหน่วยงานต่าง ๆ ส่งเสริมการแจ้งเบาะแสคอร์รัปชันและให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณได้ จะช่วยลดปัญหาการรั่วไหลของงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตได้จริงจังยิ่งขึ้น ด้วยการมีแนวทางที่ชัดเจนในการต่อต้านคอร์รัปชันร่วมกับการพัฒนาระบบสุขภาพจิต เมืองจะสามารถเติบโตในทิศทางที่ส่งเสริมความสุขและความยั่งยืนให้กับประชาชนได้มากขึ้น
ลองจินตนาการดูว่า จากจำนวนประชากรไทย 65,990,480 คน (จากข้อมูลของกรมการปกครองเดือนพฤษภาคม 2567) มีผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตไปแล้ว 10 ล้านคน และกำลังทยอยร่วงหล่น เพราะเมืองไม่สามารถโอบรับชีวิตไว้ได้ และจะร่วงหล่นเพิ่มขึ้นแบบนี้ทุกปี หรืออาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เมืองที่เราอยู่อาศัยทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรในอนาคต อาจเป็นภาพเมืองที่ค่อย ๆ รกร้าง ไร้ชีวิตชีวา ปราศจากการขับเคลื่อนในทุก ๆ ด้าน แต่ถ้าหากนโยบายต่าง ๆ มีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง และทันท่วงที เมืองนี้อาจไม่ต้องสูญเสียอะไรไปเลยก็ได้
อ้างอิง
- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ภาวะสังคมไทย ไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 ปีที่ 23 ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม 2567, [สืบค้นเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2567]
- ศูนย์เฝ้าระวังป้องกันฆ่าตัวตาย โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์, รายงานจำนวนการฆ่าตัวตายของประเทศไทย, [สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567]
- ประชาชาติธุรกิจ, สถิติน่าตกใจ! ไทยป่วยทางจิต 10 ล้านคน “ซึมเศร้า-วิตกกังวล” พุ่ง จากปัญหาเศรษฐกิจ, https://www.prachachat.net/finance/news-1573221, [สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567]
- กรมสุขภาพจิต, รายงานผู้ป่วยมารับบริการด้านจิตเวช, [สืบค้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567]
- สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, สถิติประชากรทางการทะเบียนราษฎร (รายเดือน), [สืบค้นเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2567]