ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วน (Quik win) ของรัฐบาล หลังจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาด (Set Index) ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบัน โดยนับตั้งแต่ต้นปี 68 จนถึง 4 พ.ย. 68 ต่างชาติขายสุทธิ 100,844 ล้านบาท และสถาบันในประเทศขายสุทธิ 21,482 ล้านบาท สิ่งเหล่านี้อาจสะท้อนได้ถึงตลาดหุ้นไทยที่กำลังมีความน่าสนใจลดลงในมุมมองของนักลงทุน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กับตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้ร่วมกันเตรียมฟื้นตลาดทุนครั้งใหญ่แบบเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งมีหลายมาตรการ หนึ่งในนั้น คือ การร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (BOI)
กางแผนร่วมมือ ตลท. – BOI
ภายในสัมมนา “BOI to IPO: ตลาดทุนสร้างการเติบโต” ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการเปิดแผนเบื้องต้นในการร่วมมือระหว่าง BOI และตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเน้นใน 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่
- ดึงบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง 3 สาขาหลัก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ยานยนต์ไฟฟ้า และดิจิทัล ที่เข้ามาตั้งฐานธุรกิจในประเทศไทยและได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เสนอขายหุ้นครั้งแรกแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) เพื่อเพิ่มศักยภาพการระดมทุน ยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่งของตลาดทุนไทย
- สนับสนุนให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่แล้ว มีการลงทุนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและสร้างการเติบโต ผ่านมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ของ BOI และโครงการ JUMP+ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับกรอบความร่วมมือ มี 2 แผนงาน ดังนี้
แผนงานที่ 1 การสนับสนุนให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ โดยจะมีจัดสัมมนาการเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียน หรือ IPO Roadmap for Growth สำหรับกลุ่มลูกค้าใน BOI ที่สนใจระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้จะมีมาตรการสนับสนุน โดย BOI จะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่ม เช่น ขยายสิทธิประโยชน์เพิ่มอีก 3 ปี จากสิทธิประโยชน์เดิม และขยายเวลาการเข้าจดทะเบียนเป็น 3 ปี
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะจัดให้มี IPO Clinic และ Pre Consultation ซึ่งเป็นการให้คำปรึกษาและเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ให้กับบริษัทที่สนใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
นอกจากนี้จะปรับปรุงกระบวนการ หรือเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เอื้อต่อบริษัทใน BOI ที่จะเข้าจดทะเบียน เช่น เพิ่มกระบวนการ Fast Track เร่งรัดให้จดทะเบียนง่ายขึ้น
แผนงานที่ 2 ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนใช้สิทธิประโยชน์ หรือรับบัตรส่งเสริมของ BOI เพื่อสนับสนุนการเติบโตของบริษัท โดย BOI จะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมสำหรับ เช่น Smart and Sustainability เป็นมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม ด้วยการส่งเสริมใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และใช้พลังงานทดแทน รวมถึงมีจัดให้มีบริการพิเศษช่วยอำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจและการลงทุนในไทย (BOI Dedicated Channe)
ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพัฒนาเครื่องมือที่จะช่วยให้บริษัทจดทะเบียนสามารถพิจารณามาตรต่าง ๆ ของ BOI ได้จากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ และจัดทีมงานเฉพาะกิจ BOI Dedicated Team เพื่อให้บริการบริษัทจดทะเบียน
ธุรกิจต่างชาติเข้าตลาดหุ้น “ยังอีกไกล”
อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ยังอยู่ในระยะแค่เริ่มต้น เนื่องจากต้องมีการสำรวจความพร้อมของบริษัทที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนของ BOI ด้วยว่าสามารถเข้ากับหลักเกณฑ์มีอยู่ในปัจจุบันของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือไม่ และจะต้องมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติม
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์จากการร่วมมือกับ BOI คือการได้รับฟังความต้องการบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยหากจะระดมทุนภายใต้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้ง SET, mai และLiVEx เพื่อจะนำมาปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องตามความต้องการบริษัทต่างประเทศ โดยตอนนี้ธุรกิจที่ดูเหมาะสมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพราะมีการลงทุนในประเทศและเริ่มการผลิตเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือเพื่อจูงใจให้เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้ยังไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนได้ เพราะหากมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการบริษัทต่างชาติ ก็จะต้องแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ. ซึ่งใช้ระยะเวลานานมาก แต่ถ้าสิ่งที่บริษัทต่างชาติต้องการนั้นอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้ว หรือมีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ใช้เหมือนกับบริษัทไทย การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็จะทำได้ทันที
“กฎเกณฑ์เราสามารถรับเขามาได้ แต่ว่าถ้าไม่เข้ากับอะไรของเขาก็ต้องปรับเกณฑ์ใหม่” อัสสเดช กล่าว
การลดขั้นตอนเข้าจดทะเบียนของบริษัท (Fast Track) ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกฎเกณฑ์เดิมอยู่แล้ว คือ เกณฑ์ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ที่ให้บริษัทที่ยังไม่มีกำไรตามเกณฑ์ที่กำหนด สามารถเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีบริษัทไหนเข้าในใช้เกณฑ์ดังกล่าว จึงต้องศึกษาดูว่าเกิดจากสาเหตุอะไร
สำหรับการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยของบริษัทต่างชาติ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่าจะสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นไทยได้ แม้ 3 อุตสาหกรรมใหม่ที่ตั้งใจจะให้เข้ามานั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายของนักลงทุนไทย แต่อุตสาหกรรมใหม่เหล่านี้ก็จะช่วยสร้างการเติบโตให้ตลาดหุ้นไทยต่อไปได้ ทั้งนี้นอกจากอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ยังมีอีกอุตสาหกรรมใหม่ที่ไทยพอมีศักยภาพให้พัฒนาต่อไปได้ คือ เทคโนโลยีอาหาร (Food tech) เนื่องจากบริษัทไทยมีการสร้างแบรนด์สินค้าของตนเองขึ้นมาจำนวนมาก ถือเป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นเอง อีกทั้งปัจจุบันไทยติดอันดับโลกด้านผู้ผลิตอาหาร แต่ส่วนใหญ่เป็นการรับจ้างผลิต จึงควรต้องมีการผลักดันให้สินค้าไทยติดอันดับโลกด้วย
ส่องเกณฑ์ปัจจุบันรับบริษัทเข้าจดทะเบียน
ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการกำหนดหลักเกณฑ์และมีกระบวนการในการพิจารณารับหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีความชัดเจน โปร่งใส คำนึงถึงคุณภาพของหลักทรัพย์ที่รับจดทะเบียน มีการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนและบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลอย่างเพียงพอ เท่าเทียม ทั่วถึง และภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนการพิจารณาเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนที่มีความแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของหลักทรัพย์ และรูปแบบการประกอบธุรกิจของบริษัทที่ต้องการเข้าจดทะเบียน โดยทั่วไปเกณฑ์จะครอบคลุมทั้ง ฐานะการเงินบริษัท (ต้องมีกำไร 2-3 ปีล่าสุด), ส่วนของผู้ถือหุ้น, ผลการดำเนินงาน, รายได้จากธุรกิจหลัก, ผู้บริหารที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และการกระจายการถือหุ้นรายย่อย เป็นต้น
บริษัทไทย
- บริษัทที่ประกอบธุรกิจเป็นการทั่วไป (Operating Company)
- บริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้น (Holding Company)
- บริษัทที่ลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Infrastructure Company)
บริษัทต่างประเทศ
- บริษัทต่างประเทศซึ่งไม่มีหุ้นเป็นหลักทรัพย์ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Primary Listing)
- บริษัทต่างประเทศที่มีหรือจะมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Secondary Listing)
ประเภทหลักทรัพย์
- หุ้นสามัญ
- กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REITs)
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF)
- กองทุนรวมหมุนเวียนในโครงสร้างพื้นฐาน (IFT)
- กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Trust)
- การจดทะเบียน Mutual Fund
- ETF / DR / DW
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:




