การทำเหมืองทองคำนับว่าเป็นแหล่งป้อนทองคำเข้าสู่ตลาดโลกมากที่สุดราว 75% ของความต้องการทองคำในแต่ละปี ที่เหลือเป็นทองคำหมุนเวียนในตลาด แต่ทองคำก็ยังเป็นที่ต้องการมากกว่าผลิตได้ ทำให้มักจะขาดตลาดในช่วงสั้น ๆ จากความต้องการมากมายหลายด้าน ซึ่งเมื่อทองคำน้อยกว่า “ความต้องการ” ทำให้ราคาทองคำจะขยับขึ้น “แรง” หากมีความต้องการมาก ๆ
เหมืองทองคำเป็นอุตสาหกรรมที่ทำกันทุกทวีป ยกเว้น แอนตาร์กติก โดยทองคำที่ผลิตได้ในแต่ละเหมืองมีประเภทต่าง ๆ กันและมากน้อยต่างกัน ทำให้การทำเหมืองทองกระจายออกไปทุกภูมิภาค ขึ้นกับสภาพภูมิศาสตร์ต่าง ๆ บนโลก แต่การผลิตทองโลกส่วนใหญ่มาจากอาฟริกาใต้
การผลิตของเหมืองทองได้ขยายตัวอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2008 เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีการสำรวจก้าวหน้ามาก ทำให้การสำรวจมีความแน่นอนมากขึ้น จนแทบไม่มีพื้นที่ไหนที่ยังไม่มีการสำรวจ แต่การค้นพบแหล่งใหม่ ๆ เป็นเรื่องยากมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปมักจะคิดว่าเหมืองทองร่ำรวยเมื่อราคาปรับขึ้น แต่สถานการณ์อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการทำเหมืองทอง หรือ ขุดทำออกมาขายไม่ได้ทำได้ทันอกทันใจนักตามราคาทองคำในตลาดเพราะการพัฒนาทำเหมืองทองคำใช้เวลานาน ดังนั้นอาจจะใช้เวลานับสิบปีกว่าจะที่ผลิตได้ แม้ค้นพบแหล่งแร่ทองคำแล้ว
การป้องกันความเสี่ยงผู้ผลิต
คำถามคือผู้ทำเหมืองจะเร่งขุดและถลุงทองคำป้อนตลาดหรือไม่ เมื่อเจอแหล่งแร่ทองคำแล้ว
คำตอบอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะทองคำมีขั้นตอนการผลิตมากและใช้เวลา ดังนั้น ผู้ผลิตจะมีการคาดการณ์ว่าสามารถผลิตออกมาได้มากน้อยแค่ไหน และใช้เวลานานเท่าไร อีกทั้งในช่วงที่ได้ทองคำแล้ว ราคาในช่วงนั้นจะขยับขึ้นหรือปรับลง ซึ่งการคาดการณ์ของผู้ผลิตจะมีส่วนสำคัญต่อปริมาณทองเข้าสู่ตลาดในแต่ละปี
นอกจากนี้ ผู้ผลิตยังมีการตกลงขายทองที่จะผลิตได้ในอนาคต ซึ่งเรียกว่า “การประกันความเสี่ยง” ของผู้ผลิตว่าจะขายในราคาเท่าไร เพื่อให้คุ้มต้นทุนและมีผลกำไร ซึ่งในหลายกรณีที่ผู้ทำเหมืองทองคำต้องการล็อกราคาสำหรับทองคำที่จะผลิตได้ในอนาคตกับผู้ซื้อ เพื่อต้องการบริการจัดการต้นทุน หรือ สินเชื่อ ซึ่งข้อตกลงราคาในอนาคตจะส่งผลปริมาณทองที่เข้าสู่ตลาด
ปริมาณทองคำในตลาด
มนุษยชาติหลงไหลทองคำมานานหลายพันปี เพราะทองคำเป็นสัญญลักษณ์ของความมั่งคั่ง อำนาจและความงาม แต่เคยรู้หรือไม่ว่าตลอดประวัติศาสตร์ของทองคำ มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ มีการขุดออกมามากน้อยแค่ไหน
หากนับเวลาการทำเหมืองทองคำ อาจย้อนกลับไปได้ถึงช่วงก่อเกิดอารยธรรมโบราณ ประมาณการว่ามีทองคำผลิตออกมาตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ประมาณ 216,265 ตัน โดยปริมาณทองคำที่ว่านี้ หากนำมาหลอมรวมเป็นก้อนเดียว จะได้ก้อนทองคำขนาด 22 ลูกบาศก์เมตร
แต่ 2 ใน 3 ของทองคำเหล่านี้ เพิ่งถูกขุดออกมาหลังปี 1950 สาเหตุหลักที่ทำให้ขุดทองคำได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะว่าความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทำเหมืองทองคำ และการค้นพบแหล่งทองคำใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
ดังนั้น เมื่อเทีบกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ทองคำที่ขุดออกมามีปริมาณไม่มากนัก แต่ทองคำมีความสำคัญทุกยุคทุกสมัย เพราะทองคำไม่เสื่อมสลายตามกาลเวลา ดังนั้นทองคำยังคงอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะใช้ในเครื่องประดับ หรือ เทคโนโลยี จีงไม่น่าแปลกใจว่าทองคำเป็นที่ต้องการตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ปริมาณทองคำในตลาด (สิ้นปี 2024) รวม 216,265 ตัน แบ่งเป็น
- เครื่องประดับ 97,149 ตัน หรือ 45%
- เหรียญทองและทองแท่ง (รวมถึงกองทุนทอง ETF) 48,634 ตัน หรือ 22%
- ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ 37,755 ตัน หรือ 17%
- อุตสาหกรรมและสถาบันการเงิน 32,727 ตัน หรือ 15%
ทองคำที่คาดว่าจะผลิตได้ในอนาคต
- ปริมาณแร่สำรองที่พิสูจน์แล้ว 54,770 ตัน
- แหล่งแร่ทองคำ 132,110 ตัน
การประเมินเบื้องต้นจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) โดยเป็นข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้จากหลายแห่ง และคาดการณ์ทองคำสำรองบนโลก ทั้งที่พิสูจน์แล้วว่ามีสินแร่ทองคำ และ เป็นแหล่งแร่ทองคำ ซึ่งยังไม่นับรวมแหล่งสำรงจใหม่ ๆ ที่อาจพบได้ในอนาคต
จากการประเมินทำให้คาดว่ามนุษย์ได้ขุดทองขึ้นมาใช้ด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กันแล้วกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลืออีกไม่ถึงครึ่ง อยู่ระหว่างการผลิตจากเหมืองแร่ และรอการพัฒนาเชิงพาณิชย์
จากคุณสมบัติของทองคำ และมีความต้องการจากคนกลุ่มต่าง ๆ ในขณะที่การผลิตจากเหมืองทองมีน้อยลง จึงไม่น่าแปลกใจว่าแนวโน้มราคาขยับขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเราเผชิญกับสารพัดความเสี่ยงในโลกปัจจุบัน ทองก็ยังมีระดับราคาสูงไปอีกนาน
ที่มา: World Gold Council
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:



