ทองคำ จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) ที่มีการซื้อขายเหมือนสินค้าทั่วไป แต่ “ทองคำ” มีคุณสมบัติมากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ตรงที่มีมูลค่าทางอารมณ์ความรู้สึก ทางวัฒนธรรมและใช้เป็นสินทรัพย์ หรือ มีมูลค่าทางการเงิน
คนทั่วโลกชอบซื้อทองคำด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน ทั้งมาจากฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคล เงื่อนไขทางสังคม และการคาดหวังทิศทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากความต้องการที่หลากหลายนี้ ทำให้การใช้ทองคำมาจากวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กัน ทั้งใช้เป็นเครื่องประดับ ใช้ในเทคโนโลยี และใช้เป็นสินทรัพย์การลงทุน
นั้นหมายความว่าตลาดทองคำมีผู้เข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมากมายมหาศาล ตั้งแต่ผู้ผลิต หรือ ทำเหมืองทองคำ ร้านค้า หรือ ผู้บริโภค และจากผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องมากมายทั่วโลก ทำให้เข้ามามีบทบาทต่อราคาต่างกัน ซึ่งความหลากหลายของความต้องการทองคำนี้เอง ได้ความตลาดทองคำโลกขึ้นมา
ก่อนจะเข้าใจเรื่องปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ก็ควรรู้ความ “ความต้องการทองคำ” มาจากไหน?

คนซื้อเป็นเครื่องประดับ
ทองคำใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับมีสัดส่วนมากที่สุด แม้ว่าจะลดน้อยลงในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีส่วนมากถึง 50% ของความต้องการซื้อทองคำของโลก โดยอินเดียและจีน เป็นตลาดใช้ทองคำในอุตสาหกรรมเครื่องประดับใหญ่ที่สุด ซึ่งทั้งสองประเทศรวมกันมากกว่า 50% ของการใช้ทองคำในเครื่องประดับทั่วโลก ในขณะที่ในอาเซียนและตะวันออกกลาง นิยมทองคำบริสุทธิ์
จีน มีการใช้ทองคำเป็นของขวัญให้กับสมาชิกในครอบครัว เนื่องในโอกาสต่าง ๆ และมีประเพณีให้ทองคำเป็นของ “รับขวัญ” ให้กับเด็กแรกเกิด ในรูปแบบของทองรูปพรรณ เช่น สร้อย หรือ กำไลทองคำ ในสังคมจีน ถือว่าทองคำเป็นสิ่งมีค่ามายาวนานในประวัติศาสตร์ ทั้งใช้เป็นเครื่องประดับ และ ในทางศาสนา
โดยทุกวันนี้ จีนเป็นตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากเศรษฐกิจจีนเติบโตและคนจีนมีความมั่งคั่งมากขึ้นจากการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และยังมองว่าการซื้อทองคำไว้เป็นการแสดงให้เห็นถึงฐานะที่ดีขึ้นและทำให้มีโชค แต่ตลาดจีนมีขนาดใหญ่ หากราคาในจีนปรับลดลง ก็มักจะมองว่าเป็นโอกาสเข้าซื้อ เพราะราคาโลกก็จะตกลง อย่างไรก็ตาม หากมองว่าในระยะยาวแล้ว ทองคำยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
อินเดีย เป็นหนึ่งในตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุด เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้นจะเป็นปัจจัยสำคัญให้คนซื้อทองคำมากขึ้น ทองคำยังมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมอินเดีย ทั้งเป็นแหล่งสั่งสมมูลค่า สัญญลักษณ์และสถานะความมั่งคั่ง อีกทั้งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของพิธีกรรมหลายพิธีกรรม แต่สำหรับคนชนบทของอินเดีย ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าอย่างมาก และเป็นแหล่งลงทุนสำคัญ
ทองคำในอินเดียยังเข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ประจำวัน การให้ทองคำเป็นของขวัญเป็นส่วนหนึ่งของพิธีแต่งงานในสังคมอินเดีย ซึ่งพิธีแต่งงานในอินเดียมีความต้องการทองคำในสัดส่วนค่อนข้างมากราว 50% ของความต้องการทองคำในอินเดีย
สหรัฐอเมริกา ตลาดทองคำในสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนจากตลาดมหาชน กลายเป็นตลาดไฮเอ็น เมื่อมีการทำตลาดจากแบรนด์เครื่องประดับรายใหญ่ ที่มีการออกแบบสร้างมูลค่าให้กับทองคำ ทุกวันนี้ ชาวอเมริกันก็นิยมใช้ทองคำเป็นของขวัญในวันแต่งงาน โดยเฉพาะแหวนแต่งงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมตะวันตกมานานหลายศตวรรษ
ในขณะที่ชาวอเมริกันที่ให้แหวนแต่งงานได้รับความนิยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อทหารอเมริกันกลับบ้านเพื่อสวมแหวนแต่งงานให้กับคนรัก คนนิยมซื้อทองคำ เมื่อรู้สึกว่าเป็นเรื่องประเพณีที่ยึกถือกัมานาน หรือ เป็นช่วงที่สำคัญของชีวิต ซึ่งจุดแข็งของทองคำในหมู่ผู้บริโภคทั่วไป คือ มีคุณค่าทางอารมณ์ความรู้สึกและมูลค่าทางการเงิน รวมถึงสามารถส่งต่อให้กับลูกหลานโดยไม่มีการลดมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป
ตุรกี ทองคำในตุรกีมีบทบาทอย่างมากในสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยความต้องการมาจากมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งมีการใช้ในพิธีกรรมการแต่งงานและด้านอื่น ๆ ของศาสนา
นอกจากนี้ ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ทองคำเป็นทั้ง “สื่อกลาง” ในการแลกเปลี่ยน และหน่วยอ้างอิงทางการเงิน เช่น ที่ Grand Bazaar ศูนย์กลางตลาดทองคำในตุรกี มีการเก็บค่าเช่าเป็นทองคำ นอกจากนี้ ชาวตุรกียังนิยมซื้อทองคำ เพื่อใช้สู้กับเงินเฟ้อและความผันผวนของค่าเงิน
ทองคำเป็นสินทรัพย์การลงทุน
จากคุณสมบัติของทองคำ ทำให้ทองคำเป็น “สินทรัพย์” ชั้นดีเนื่องจากเป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก ทำให้การลงทุนในทองคำถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น และทองคำก็ยังช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงน้อยลง หรือ สร้างความสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน เพราะราคาทองไม่ผันผวนมากนักและสูญมูลค่าน้อยในช่วงที่ตลาดผันผวน โดยกลุ่มที่ลงทุนสำคัญ คือ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ และ บรรดากองทุน
ธนาคารกลาง ใช้ทองคำเป็นทุนสำรอง โดยธนาคารกลางทั่วโลกจะถือครองทองคำจำนวนหนึ่ง และสามารถซื้อขายได้ในตลาด รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจของประเทศ อย่างเช่น ธนาคารกลางหลายแห่งถือครองทองคำในวิกฤตการเงินปี 2008 ทำให้สร้างความเชื่อมั่นได้ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางเปลี่ยนไปถือครองทองคำมากขึ้น ช่วยให้ธนาคารกลางดำเนินบทบาทและสามารถบริการจัดการสินทรัพย์ที่เป็นทุนสำรองได้ โดยเฉพาะธนาคารกลางในประเทศตลาดเกิดใหม่ซื้อทองคำเป็นทุนสำรอง เพิ่มขึ้น ในขณะที่ธนาคารกลางในยุโรปก็ชะลอเทขายเมื่อราคาขึ้น
ปัจจุบัน ธนาคารกลางทั่วโลกมักจะทยอยซื้อทองคำเป็นทุนสำรอง นับว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีการซื้อทองคำในแต่ละปี
กองทุน ถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในตลาดทองคำ เพราะทองคำมีคุณสมบัติที่ดีสำหรับการลงทุน โดยช่วยลดความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน ในช่วงที่เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนเชื่อว่าทองคำเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ซึ่งทองคำมี 2 เป้าหมายหลัก คือ รักษามูลค่า หรือ สร้างมูลค่าสินทรัพย์ และช่วยบริหารจัดการความเสี่ยง
ใช้ในเทคโนโลยี
ทองคำ มีการนำมาใช้ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ความต้องการหลักมาจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 80% ของการใช้ในเทคโนโลยี เช่น มือถือ คอมพิวเตอร์ โดยทองคำมีการนำมาใช้ในเครื่องไม้เครื่องมือทางเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคทั่วไป เนื่องจากคุณสมบัติของทองคำทำให้ไม่สามารถหาวัสดุอื่น ๆ มาทดแทนได้ในเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีสูง แม้ความต้องการใช้ในสัดส่วนไม่มากนัก แต่มีอย่างสม่ำเสมอตามการพัฒนาเทคโนโลยียุคใหม่
ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองขึ้น-ลง
จากคุณลักษณะของ “ทองคำ” ทำให้มีความต้องการมานานนับพันปี แต่ในยุคโลกาภิวัฒน์ทางการเงิน มักจะมีคำพูดที่ว่า ส่วนดีที่สุดของทองคำคือ การลงทุน
ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน ไม่ว่าจะเกิดจากปัจจัยใด เรามักจะได้ยินได้ฟังข้อถกเถียงว่าจะลงทุนทองคำอย่างไรดี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจใช้เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ประกันความเสี่ยงจากค่าเงิน หรือ แม้แต่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ต่อสู้เงินเฟ้อ นักลงทุนมักจะซื้อทองในช่วงที่เงินเฟ้อขยับสูงขึ้น เพราะเงินเฟ้อทำให้สินทรัพย์อื่น ๆ มีค่าน้อยลง แต่ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่รักษามูลค่าไว้ได้ ไม่ว่าเงินเฟ้อจะพุ่งทะยานไปแค่ไหน จากคุณสมบัตินี้ ทำให้ราคาทองจะ “ขยับขึ้น” ในช่วงเงินเฟ้อสูง เพราะมี “แรงซื้อ” จากการที่นักลงทุนพยายามรักษา “อำนาจการซื้อของเงิน” ไม่ให้ลดลงตามเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม หลายประเทศที่ใช้นโยบายการเงินดูแลเงินเฟ้อ ธนาคารกลางมักจะ “ขึ้นดอกเบี้ย” หากเงินเฟ้อขยับขึ้น ซึ่งจะทำให้การฝากเงินมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็อาจจะปรับพอร์ตลงทุน ขายทองคำออกมา ซึ่งจะทำให้ราคาทองลดลง เพราะ “ทองคำไม่มีผลตอบแทน” เหมือนสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น ที่มีเงินปันผล แต่ทองคำสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา
ค่าเงินดอลลาร์ การซื้อขายทองคำในตลาดโลกจะอยู่ในรูปของเงินดอลลาร์ ดังนั้นหากจะซื้อขายต้องดูแนวโน้มหรือทิศทางค่าเงินดอลลาร์ เมื่อเทียบเงินของแต่ละประเทศด้วย หากค่าเงินดอลลาร์ “อ่อนค่า” การซื้อทองคำด้วย “เงินท้องถิ่น” จะได้ราคาถูกลง แต่หากเงินดอลลาร์ “แข็งค่า” ก็จะตรงกันข้าม ราคาทองจะแพงขึ้น ซึ่งการซื้อในไทย ผู้ลงทุุนจำเป็นต้องดูทิศทางค่าเงินดอลลาร์ด้วย ไม่ใช่ดูแค่ “ราคาทองคำในตลาดโลก” เพียงอย่างเดียว
ภาวะเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสินทรัพย์ทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่ทองคำ เพราะหากเศรษฐกิจดี ราคาทองก็จะขยับขึ้นตามความต้องการเพิ่มขึ้น ทั้งเพื่อการลงทุนและใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ เพราะในบางประเทศ ที่มีประเพณีที่คนใช้ทองคำในโอกาสต่าง ๆ มาก ก็จะทำให้ราคาทองคำขยับเป็นช่วงตามเทศกาล เช่น ตรุษจีน ปีใหม่ เป็นต้น
โดยเฉพาะ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ หรือ เศรษฐกิจชะลอตัว นักลงทุนจะโยกสินทรัพย์มาลงทุนทองคำ ในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย”
สงครามและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่นับวันรุนแรงมากขึ้น เป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ ยิ่งความขัดแย้งมีแนวโน้มยืดเยื้อและขยายวงกว้าง ก็จะเป็น “ความเสี่ยง” ให้คนหันมาลงทุนทองคำมากขึ้น อย่างเช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย เป็นตัวกระตุ้นราคาทองขยับขึ้น หรือ แม้แต่ความขัดแย้งสหรัฐ-จีน
ดังนั้น ในยุคที่คนไทยลงทุนทองคำ “ง่ายแค่ปลายนิ้ว” ความเข้าใจพื้นฐานและกลไกราคาเป็นสิ่งจำเป็นก่อนลงทุน
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:



