ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยถดถอยเกือบทุกด้าน โดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ (IMD – WCC) ประกาศการจัดอับดับประจำปี 2568 ประเทศไทยมีอันดับลดลงถึง 5 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 30 เท่ากับเมื่อปี 2566
ในปีนี้ มีเขตเศรษฐกิจที่ได้รับการจัดอันดับเพิ่มเติม 3 เขตเศรษฐกิจ คือ โอมาน เคนยา และนามิเบีย และมี 1 เขตเศรษฐกิจที่ไม่เข้าร่วมการจัดอันดับในปีนี้ คือ อิสราเอล ทำให้มีประเทศที่ได้รับการจัดอันดับทั้งหมด 69 เขตเศรษฐกิจจากเดิมที่มี 67 เขตเศรษฐกิจ
นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มตัวชี้วัดใหม่ในปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ 3 ตัวชี้วัด และด้านโครงสร้างพื้นฐาน 3 ตัวชี้วัด ทำให้มีจำนวนตัวชี้วัดที่ใช้ในการจัดอันดับรวมทั้งสิ้น 262 ตัวชี้วัด โดยใช้ข้อมูลสถิติ 170 ตัวชี้วัด และจากการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารภาคธุรกิจ 92 ตัวชี้วัด
จากปัจจัยหลักที่ IMD ใช้ในการจัดอันดับรวม 4 ด้าน ไทยมีอันดับลดลงจากปีที่แล้วในทุกด้าน โดยลดลงมากที่สุดใน ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ ( Government efficiency) ที่ลดลงถึง 8 อันดับรองลงมาคือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ที่มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 4 อันดับ และสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ลดลง 3 อันดับ
สาเหตุหลักในแต่ละด้านดังนี้
▪ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับปรับลงเล็กน้อยจากอันดับที่ 5 เป็นอันดับที่ 8 จากการลงทุนระหว่างประเทศ (International Investment) ที่มีอันดับต่ำลงถึง 10 อันดับ ในขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศ(Domestic Economy) มีอันดับดีขึ้น 1 อันดับแต่ยังคงอยู่ในอันดับต่ำคืออันดับที่ 38 และอัตราค่าครองชีพ (Prices) มีอันดับดีขึ้น 4 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 13
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีอันดับที่ดีในด้านการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) และการจ้างงาน (Employment) โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4 และอันดับที่ 3 ตามลำดับ
▪ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ลดลงจากอันดับที่ 24 มาอยู่ในอันดับที่ 32 ประเด็นหลักที่ลดลงมากที่สุดและมีอันดับต่ำที่สุดในหมวดนี้คือกรอบการบริหารภาครัฐ (Institutional Framework) ที่ลดลงถึง 10 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 49 รองลงมาคือด้านการเงินภาครัฐ (Public Finance) ที่ลดลงถึง 10 อันดับมาอยู่ใน TMA Center for Competitivenessอันดับที่ 31
ส่วนด้านอื่น ๆ คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Business Legislation) และกรอบดำเนินการด้านสังคม (Societal Framework) ถึงแม้จะมีอันดับลดลงไม่มากแต่ก็เป็นประเด็นที่ประเทศไทยยังมีอันดับต่ำคืออยู่ในอันดับที่ 40 และ 45 ตามลำดับ และมีเพียงด้านเดียวที่มีอันดับที่ดีในหมวดนี้คือ นโยบายด้านภาษี (Tax Policy) ที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 8 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ
▪ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ลดลงจากอันดับที่ 20 มาอยู่ในอันดับที่ 24 โดยประเด็นด้าน
ผลิตภาพ (productivity) ยังคงเป็นจุดอ่อนของประเทศถึงแม้จะมีอันดับดีขึ้นเล็กน้อยจากอันดับที่ 42 เป็น 39 เนื่องจากผลิตภาพของแรงงานและผลิตภาพในทุกภาคเศรษฐกิจของไทยมีอันดับต่ำเป็นอย่างมากมาโดยตลอด รองลงมาได้แก่ ด้านการเงิน (Finance) ที่มีอันดับลดลงถึง 12 อันดับมาอยู่ในอันดับที่ 36
โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (Stock Market Index) ที่อยู่ในอันดับ 67 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ กิจกรรม M&A ของบริษัทจดทะเบียน และการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านบัตร เป็นต้น
▪ โครงสร้างพื้นฐาน เป็นปัจจัยที่ไทยอยู่ในอันดับต่ำมาโดยตลอดและยังมีอันดับที่ลดลงอีกในปีนี้โดยมาอยู่ที่อันดับที่ 47 ถึงแม้ว่าอันดับในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Basic Infrastructure) และโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ซึ่งยังคงไม่เพียงพอต่อการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนได้
ด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) จะอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำมากแต่ก็มีอันดับลดลงในปีนี้ มีเพียงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Infrastructure) ที่ขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในอันดับต่ำ ส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้แก่ สาธารณสุขสิ่งแวดล้อม และการศึกษา ยังคงอยู่ในอันดับที่ต่ำมากคือ อันดับที่ 58 และ 55 ตามลำดับ
ผลจัดอันดับสะท้อนไทยอ่อนแอรับความผันผวน
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีความอ่อนแอ ทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงระบบที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ และอ่อนไหวต่อความผันผวนจากสถานการณ์ต่าง ๆ ในโลก และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเกือบทุกประเทศในอาเซียน
ในระยะที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน หลายปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ประเทศขาด New S-curves ที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ขาดระบบการบริหารและกลไกขับเคลื่อนกลยุทธ์แผนงานที่มี focus และมีประสิทธิภาพ หน่วยงานด้านเศรษฐกิจกระจัดกระจาย (Fragmented) ขาดหน่วยงานกลางดูแลภาพรวม สื่อสารนโยบายและติดตามผลการปฏิบัติของแต่ละภาคส่วนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐ (Government Efficiency) ยังคงมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบแยกส่วน (Silo)กฎหมายที่ไม่ทันสมัย กระบวนการเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจซับซ้อนเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชัน SMEs อ่อนแอ และโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สาธารณสุขสิ่งแวดล้อม ยังคงไม่เพียงพอต่อการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนได้
ไทยต้องเตรียมรับมือ 5 ด้าน
สำหรับประเทศไทย นักวิเคราะห์ชี้ว่าควรเตรียมรับมือหลัก 5 ด้าน
ประเทศเอเชีย–แปซิฟิก ต้องเตรียมอะไรบ้าง
สิงคโปร์
ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่แข็งแกร่ง โดยถูกจัดอยู่ที่อันดับ 2 ของความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นรองเพียงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยสิงคโปร์มีคะแนนที่โดดเด่นมากในเรื่องของโครงสร้างดิจิทัลและการค้าระหว่างประเทศที่ได้อันดับสูงสุดเป็นอันดับ 1 อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์มีเรื่องที่ควรเฝ้าระวังคือ
Momentum โลกเปลี่ยน
2025 เป็นปีที่ทำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า โลกกำลังเดินหน้าไปในทิศทางชาตินิยม (Nationalism) เห็นได้จากหลายประเทศที่มีมาตราการสนับสนุนธุรกิจและส่งเสริมกิจการในประเทศ หรือมีนโยบายคุ้มครองทางการค้า (Protectionist Policies) เพิ่มขึ้นเพื่อจำกัดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมที่เสียสมดุลทางการค้า ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่บริษัทต้องปรับตัวคือเพิ่ม Supply Chain Agility หรือ ความคล่องตัวของห่วงโซ่อุปทาน เช่น เพิ่มความสามารถในการเปลี่ยนเส้นทางการผลิต และจัดหาทรัพยากรวัตถุดิบให้ได้ดีขึ้น
หลายประเทศมีการตอบโต้ด้วยการกระจายแหล่งซื้อวัตถุดิบเพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง ในขณะเดียวกันบางประเทศใช้วิธี Regionalization หรือ Friend-shoring ซึ่งแปลได้ว่า จับกลุ่มหาพันธมิตร เช่น การจับกลุ่มกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นต้น
ประเทศไทยมาถึงจุด “รอไม่ได้อีกต่อไป”
นิธิ ภัทรโชค ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เสนอว่าภายใต้วิกฤติต่าง ๆ ที่กำลังรุมล้อมอยู่ในเวลานี้ ไทยมาถึงจุดที่รอไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทนำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหาเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ
ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวพัฒนาศักยภาพของตนเอง และร่วมมือกับภาครัฐและภาคการศึกษาในการขับเคลื่อนวาระสคัญำของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยกระดับความสามารถของ SMEs
ประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาสที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้ แต่เราจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิดและแนวทางแบบเดิม ๆ ปรับ business model ของประเทศใหม่ให้ตอบรับอนาคต มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน และต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง
ดังที่หลาย ๆ ประเทศที่ประสบปัญหาและเผชิญความท้าทายของสถานการณ์โลกเช่นเดียวกับเราที่สามารถปรับตัวฝ่าวิกฤติสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง ซึ่งผมเชื่อว่าประเทศไทยก็สามารถทำได้หากเรามีทิศทางที่ชัดเจน
ที่มา https://imd.widen.net/s/rzpp6psbnc/from-government-policy-to-business-acumen
https://imd.widen.net/s/nqljbdcsnb/th1page_wcy_2025
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:
สุดยอดผูกขาด! บริษัท 5% มีรายได้ 85% ของประเทศ