การทุจริตคอร์รัปชันในกระบวนการอนุมัติอนุญาตต่าง ๆ นี้เอง เป็นกระบวนการสำคัญที่ลดความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของประเทศเป็นอย่างมาก ส่งผลถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนจากแหล่งทุนที่มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล ซ้ำยังดึงดูดทุนประเภทสีเทาให้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศ เพราะภาครัฐซึ่งเป็นฝ่ายที่ถืออำนาจในการอนุมัติ อนุญาตเป็นผู้เรียกรับ (สินบน) รู้เห็น และสามารถซื้อได้ด้วยเงิน ภาคเอกชน ภาคประชาชนเป็นฝ่ายที่แม้จะได้รับผลกระทบก็เป็นฝ่ายที่ต้องยินยอมหากต้องการจะทำธุรกรรมให้สำเร็จเสร็จสิ้น และในบางครั้งก็ใคร่ยินดีจะจ่ายหรือเสนอเพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง เช่น การอำนวยความสะดวกที่มากกว่าที่มีในกฎหมาย การเปลี่ยนความผิดให้เป็นถูก การซื้อโอกาสทางธุรกิจ
จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ดูเหมือนจะไม่มีใครจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจากสังคมโดยรวม และเมื่อสังคมโดยรวมไร้ซึ่งความเชื่อมั่นและความหวังแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ สังคมจะเต็มไปด้วยคอร์รัปชัน เพราะทุกคนเห็นว่าใคร ๆ ก็ทำกันเป็นปกติ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องหาวิธีการที่ทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และลดการใช้ดุลพินิจเพื่อป้องกันการทุจริต แนวทางหนึ่งที่เริ่มได้รับความสนใจคือการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในระบบการอนุมัติและการอนุญาต โดยเฉพาะผ่านการทำระบบดิจิทัลหรือ e-Service ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาสินบน: แก้ได้ง่ายในทฤษฎี แต่ไม่ง่ายในความเป็นจริง
การแก้ปัญหาการรับสินบนในระบบราชการอาจถูกมองว่าแก้ง่าย เพียงแค่การควบคุมตัวผู้ให้และผู้รับสินบนเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงปัญหานี้ซับซ้อนกว่านั้น เนื่องจากทั้งผู้ให้และผู้รับต่างมีแรงจูงใจและผลประโยชน์ร่วมกันที่ต้องการให้กระบวนการเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย ผู้ประกอบการที่ต้องการได้รับการอนุมัติในขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลานานอาจเลือกใช้สินบนเพื่อเร่งรัดการอนุมัติ หรือข้ามขั้นตอนที่ซับซ้อน ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบางคนอาจยินดีรับสินบนเหล่านั้นเพื่อแลกกับการทำงานที่ผิดกฎระเบียบ
ตัวอย่างเช่น การอนุมัติการก่อสร้างอาคาร การขอใบอนุญาต หรือการขออนุมัติสินเชื่อในบางโครงการ การให้สินบนไม่เพียงแค่แก้ปัญหาความล่าช้าในกระบวนการ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทำให้การทำงานเป็นไปตามผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐและภาคเอกชน ในกรณีที่มีการรับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยเงินกู้ในการก่อสร้างอาคาร เจ้าหน้าที่อาจเลือกอนุมัติโครงการโดยไม่สนใจว่ากระบวนการตรวจสอบจะถูกต้องหรือไม่
โจทย์ใหม่: การสร้างผลประโยชน์ร่วมกันอย่างโปร่งใส
การปรับปรุงระบบให้เกิดความโปร่งใสจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มการบังคับใช้กฎหมาย แต่ต้องเป็นการตั้งโจทย์ใหม่ว่า “จะทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่รัฐและภาคเอกชนมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างโปร่งใสและยั่งยืน?” การพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่เป็นกลางและมีมาตรฐานที่ชัดเจน เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยลดความจำเป็นในการใช้สินบน เนื่องจากเทคโนโลยีสามารถทำให้กระบวนการทุกอย่างเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีความเท่าเทียมกันในทุกระดับ
การทำระบบอนุมัติแบบดิจิทัลผ่าน e-Service จะช่วยลดการติดต่อส่วนบุคคลกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ไม่มีช่องทางในการใช้ดุลพินิจส่วนตัวมากนัก นอกจากนี้ยังทำให้กระบวนการทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบออนไลน์ที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับภาคเอกชนว่ากระบวนการนี้จะเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้และไม่ถูกขัดขวางโดยความไม่โปร่งใส
การทำ e-Service: ประโยชน์สำหรับภาครัฐ
สำหรับภาครัฐ การปรับใช้เทคโนโลยีในการอนุมัติและการอนุญาตผ่าน e-Service เป็นแนวทางที่ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการอย่างมาก ระบบ e-Service ไม่เพียงทำให้การอนุมัติเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยลดความจำเป็นในการใช้ดุลพินิจส่วนตัว ซึ่งมักเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการรับสินบนได้ง่าย การมีระบบที่โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ประกอบการและประชาชนว่าทุกขั้นตอนจะเป็นไปตามมาตรฐาน
ตัวอย่างหนึ่งของการทำ e-Service ที่ประสบความสำเร็จคือการทำให้ระบบการขอใบอนุญาตต่างๆ ในภาครัฐเป็นแบบออนไลน์ โดยผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูล ยื่นเอกสาร และติดตามผลการอนุมัติได้ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งไม่เพียงลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ได้ว่าการอนุมัติจะใช้เวลานานเพียงใด
นโยบาย Regulatory Guillotine ความหวังของภาคเอกชน
ภาคเอกชนมีความคาดหวังว่ากระบวนการอนุมัติและการอนุญาตในภาครัฐควรเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริงมักพบว่ากฎระเบียบและขั้นตอนการอนุมัติในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย มักซับซ้อนและใช้เวลานาน นโยบาย Regulatory Guillotine หรือการปรับลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นออก เป็นหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจจากภาคเอกชน เนื่องจากช่วยลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการทำงาน
นโยบายนี้เริ่มต้นขึ้นจากความต้องการที่จะปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจในยุคใหม่ โดยการทบทวนกฎระเบียบที่มีอยู่ และคัดเลือกสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อนออก เพื่อลดภาระให้กับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดกระบวนการที่รวดเร็วและง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎระเบียบเหล่านั้นถูกบูรณาการเข้ากับระบบดิจิทัล ซึ่งจะทำให้การตรวจสอบและการอนุมัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การทำ Regulatory Guillotine ในประเทศไทย
ประเทศไทยได้เริ่มนำนโยบาย Regulatory Guillotine มาปรับใช้เพื่อปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน ซึ่งในการพิจารณากฎระเบียบที่ไม่จำเป็นและล้าสมัย จะพิจารณาจากการคำนวณภาระต้นทุน เมื่อธุรกิจหรือประชาชนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ผ่านชุดคำถาม หรือ Checklist ซึ่งพัฒนาโดยองค์การความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ดังนี้
(1) ความชอบด้วยกฎหมาย เช่น กฎหมายมีฐานอำนาจถูกต้องหรือไม่
(2) ความสอดคล้องเชิงเศรษฐศาสตร์ เช่น กฎหมายที่ใช้อยู่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจหรือไม่ ล้าสมัยหรือไม่
(3) ความเหมาะสม ในทางปฏิบัติ เช่น บทลงโทษได้สัดส่วนหรือไม่ อัตราค่าธรรมเนียมได้สัดส่วนหรือไม่
สรุป
การปรับใช้เทคโนโลยีในระบบการอนุมัติและการอนุญาตไม่เพียงช่วยลดปัญหาสินบนและความไม่โปร่งใส แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ นโยบาย Regulatory Guillotine และการทำระบบ e-Service เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดการทำงานที่รวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนว่าโครงการต่าง ๆ จะได้รับการอนุมัติอย่างยุติธรรม ปัจจุบัน หลายหน่วยงานริเริ่มนำ e-service มาปรับใช้ในหลายกระบวนงานที่ขออนุญาตอนุมัติแล้ว แต่ข้อเสนอในการกิโยตินกฎหมายที่มีการศึกษากันมาสักพักแล้วกลับไม่ถูกนำไปขับเคลื่อนต่อสักที ประชาชนจึงได้ร้องถามว่ากระบวนการอนุมัติและการอนุญาตในภาครัฐจะเป็นธรรมและโปร่งใสกี่โมง
อ้างอิง
- Regulatory Guillotine ปฏิรูปกฎหมาย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- เศรษฐกิจไทยฟื้นไม่ยาก หาก ‘กิโยตินกฎหมาย’
- OECD (2022), Open and Connected Government Review of Thailand, OECD Public Governance Reviews, OECD Publishing, Paris,