ThaiPBS Logo

อะไรคืออนาคตเงิน? เมื่อสินทรัพย์ดิจิทัลมาแรง

21 มิ.ย. 256808:19 น.
อะไรคืออนาคตเงิน? เมื่อสินทรัพย์ดิจิทัลมาแรง
  • เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง อนาคตของเงิน (The Future of Money) ในงาน the Central Banking Summer Meetings เมื่อ 11 มิ.ย. 68 ซึ่งมีมุมมองเกี่ยวกับ “เงิน”ที่น่าสนใจ ท่ามกลางภัยคุกคามจากเทคโนโลยี โดยเฉพาะกระแสเงินดิจิทัล แต่ยังเชื่อว่าบทบาทธนาคารกลางยังคงสำคัญ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย มีรายละเอียดดังนี้
ระบบการเงินของไทและทั่วโลก เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากเทคโนโลยียุคใหม่ โดยเฉพาะเงินดิจิทัล แม้ว่าคนมากมายเชื่อว่าจะเข้ามาแทนที่เงินแบบเดิม แต่ "เศรษฐพุฒิ" ผู้ว่าธปท. มองว่า "อนาคตของเงิน" ยังต้องยึดโยงกับเงินของธนาคารกลาง เพราะมีบทบาทที่คนอื่นแทนไม่ได้ นั่นคือ ความเชื่อมั่น

ก่อนที่เราจะมองไปข้างหน้า คิดว่าจะเป็นประโยชน์หากเราได้ย้อนกลับมาทบทวนหลักการพื้นฐานและหน้าที่ของ “เงิน” ว่ามีอะไรที่จะไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง เพื่อให้เป็นหลักยึดได้ว่าระบบการเงินที่จะทำงานได้ดีในอนาคตควรมีคุณลักษณะอย่างไร หลักการพื้นฐานนี้ยังจะเป็นแนวทางและกรอบ (guidelines and guardrails) ในการประเมินนวัตกรรมทางการเงินต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่านวัตกรรมเหล่านั้นจะช่วยพัฒนาระบบการเงินให้ดีและแข็งแกร่งขึ้น โดยไม่บั่นทอนระบบการเงินโดยไม่ได้ตั้งใจ

ทั้งนี้ แม้อนาคตของเงินจะเต็มไปด้วยนวัตกรรมมากมายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้และมีหลายหน้าที่ที่ควรปลอย่ให้เป็นบทบาทของภาคเอกชน แต่ก็ยังมีหน้าที่สำคัญบางประการที่ธนาคารกลางจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร

หน้าที่ของเงิน (The fundamentals of money)

วัตถุประสงค์หลักของเงินและระบบการเงิน คือ การอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยน ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การเป็น

(1) หน่วยวัดมูลค่า (Unit of Account –UOA)

(2) สื่อกลางในการชำระเงิน (Means of Payment – MOP)

(3) กลไกในการโอนสื่อกลางในการชำระเงินหรือชำระราคา

แม้ทั้งสามองค์ประกอบจะสำคัญ แต่การเป็นหน่วยวัดมูลค่า (UOA) อาจถือได้ว่าเป็นแก่นที่สำคัญที่สุดและเป้นรากฐานขององค์ประกอบอื่น ๆ โดย UOA ทำหน้าที่เป็นมาตรวัดมูลค่าของสินค่าบริการ และสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมด เสมือนหน่วยวัดระยะทางที่เป็นนามธรรมและไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หน่วยวัดดังกล่าวทำหน้าที่เป็น “ภาษา” ที่ใช้แปลและเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างสินค้าและบริการการเปรียบเทียบมูลค่าลักษณะนี้ อีกนัยหนึ่ง คือ “อัตราแลกเปลี่ยน” ระหว่างสินค้าและบริการ เป็นรากฐานของการค้า และการมีหน่วยวัดมูลค่ากลางร่วมกัน (common numeraire) จะช่วยลดจำนวนราคาเปรียบเทียบที่ต้องรับรู้ลงได้อย่างมหาศาล

UOA ถือเป็นองค์ประกอบพื้นฐานดั้งเดิม (primitive) เนื่องจากเป็นรากฐานให้องค์ประกอบอื่นของระบบการเงินต่อยอดขึ้นมา องค์ประกอบที่สอง คือ สื่อกลางในการชำระเงิน (MOP) ซึ่งเป็นตัวแทนของ UOA และทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในการชำระภาระผูกพัน MOP เป็นกลไกสำคัญที่รองรับการแลกเปลี่ยนแบบต่างตอบแทน (quid-pro-quo) ในระบบการค่าแบบกระจายศูนย์ (decentralised trading system)

การเป็นตัวแทนของ UOA หมายความว่า MOP ควรมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่เท่ากับ 1 เมื่อเทียบกับหน่วยวัดมูลค่า ไม่ว่าจะเป็น MOP รูปแบบใด หลักการเรื่อง “ความเป็นเอกภาพของเงิน” (singleness of money) หมายความว่าเงินทุกรูปแบบควรมีมูลค่าเท่ากัน (at par) เมื่อเทียบกับ UOA และโดยนัยแล้วจึงแลกเปลี่ยนกันเองได้ที่ at par เช่นกัน

หากไม่เป่นเช่นนั้น จะเกิดความซับซ้อนที่ไม่จำเป็น ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และสร้างความสับสน การขจัดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างรูปแบบของเงินต่าง ๆ จะช่วยให้เงินหมุนเวียนได้อย่างคล้องตัวและทำหน้าที่ประสานและสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบที่สามคือ กลไกการโอน MOP ซึ่งต้องมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพและดำเนินการได้ทันการณ์ เพื่อรับประกันความถูกต้องและความสมบูรณ์ (integrity) ในการโอนมูลค่าระหว่างคู่สัญญา และทำให้การชำระหนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ (settlement finality)

อาจสังเกตว่าไม่ได้กล่าวถึงหน้าที่ดั้งเดิมของเงินในฐานะเครื่องเก็บรักษามูลค่า(store of value) ไม่ใช่เพราะไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะหน้าที่ดังกล่าวไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของเงินสินทรัพย์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ทางการเงินหรือสินทรัพย์จริง ต่างก็ทำหน้าที่เป็นเครื่องเก็บรักษามูลค่าได้ ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจาก MOP ที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่เท่ากับ 1 เมื่อเทียบกับ UOA ทำให้โดยโครงสร้างแล้ว MOP จึงต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติในการเก็บรักษามูลค่าในตัวเองอยู่แล้ว แลไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงหน้าที่นี้แยกต่างหาก

ความน่าเชื่อถือของเงิน: บทบาทของธนาคารกลาง

แม้องค์ประกอบทั้งสามจะเป็นส่วนประกอบทางเทคนิคที่จำเป็นของระบบการเงิน แต่สิ่งที่เป็นรากฐานและสำคัญยิ่งกว่า คือ “ความน่าเชื่อถือ (trust)” ระบบการเงินจะทำงานได้จะต้องผ่านเงื่อนไขเบื้องต้นคือ ความเชื่อมั่นว่าหน่วยวัดมูลค่าจะยังคงความสำคัญ สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นเงินจะได้รับการยอมรับโดยทั่วไป และการชำระเงินจะสำเร็จลุล่วงตามที่ควรจะเป็น ดั่งคำกล่าวที่ว่า เงินทำให้โลกหมุนไปได้ แต่ความน่าเชื่อถือ คือสิ่งที่ทำให้เงินหมุนเวียนได้ การสร้างและรักษาความเชื่อมั่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยโครงสร้างเชิงสถาบันที่เข้มแข็ง ซึ่งธนาคารกลาง รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินและระบบการชำระเงิน ถือเป็นเสาหลักสำคัญของโครงสร้างนี้

การรักษาความมั่นคงของ UOA เป็นความรับผิดชอบหลักของธนาคารกลาง ซึ่งดำเนินการผ่านนโยบายการเงิน เพื่อให้มั่นใจว่า UOA (ซึ่งก็คือราคาของเงินเมื่อเทียบกับสินค้าและบริการ)จะสามารถถูกยึดเหนี่ยวได้อย่างดี ความสำคัญของ UOA จะปรากฏชัดเจนที่สุดเมื่อมันไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างที่ควรจะเป็นการสูญเสียความมั่นคงของ UOA หมายถึงภาวะเงินเฟ้อที่สูงมากหรือภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้อต่อเนื่อง ซึ่งทั้งสองสถานการณ์ล้วนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกระบวนการแลกเปลี่ยน ในกรณีที่รุนแรงที่สุด เมื่อความเชื่อมั่นใน UOA หมดไป ระบบเศรษฐกิจอาจหันไปใช้ UOAของประเทศอื่น (เช่น การใช้เงินดอลลาร์ สรอ. หรือที่เรียกว่า dollarization) ซึ่งสะท้อนถึงการสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางการเงินของประเทศนั้น

แม้ว่าหน้าที่การออก MOP และกลไกการโอนเงินบางส่วนจะสามารถมอบหมายให้ภาคเอกชนดำเนินการได้ (เช่น เงินฝากธนาคาร เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money)) แต่การรักษาความน่าเชื่อถือในระบบการเงินจำเป็นต้องมีกรอบการกำกับดูแลและการตรวจสอบที่เข้มแข็ง เพื่อให้มั่นใจว่ากลไกเหล่านั้นจะทำงานได้อย่างถูกต้องตลอดเวลา

หลักการ “ความเป็นเอกภาพของเงิน” ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ความยากลำบากในการสร้างและรักษาความเชื่อมั่นในเงินสะท้อนได้จากความพยายามของภาคเอกชนในการสร้างเงิน ส่วนใหญ่มักต้องอาศัยระบบที่มีอยู่เดิม โดยการนำหน่วยวัดมูลค่าของประเทศมาใช้ และผูกการชำระหนี้ไว้กับเงินฝากธนาคาร

ในท้ายที่สุด ดังนั้น นโยบายการเงินที่มีเสถียรภาพและกรอบการกำกับดูแลที่เข้มแข็งยังคงเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบการเงินในอนาคต

แล้วอนาคตของเงินมีอะไรรออยู่?

คาดว่า แนวโน้มในอนาคตน่าจะยังคงดำเนินตอ่ไปในทิศทางเดียวกับที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาใน 2 ด้าน คือ (1) กรอบนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และ (2) การเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงและทำงานร่วมกัน (interoperability) ของระบบการชำระเงิน

ประเด็นแรก กรอบนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้น แม้ว่าการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ(inflation targeting) จะพิสูจน์แล้วว่าเป็นกรอบนโยบายที่มีความมั่นคงในการรักษา UOAแต่เมื่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและการเงินเปลี่ยนแปลงไป กรอบนโยบายดังกล่าวจำเป็นต้องปรับเช่นกัน

หนึ่งในความท้าทายสำคัญ คือ บทบาทของปัจจัยเฉพาะ (sector-specific) และปัญหาด้านอุปทาน(supply shocks) ที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคามากขึ้น สะท้อนได้จากภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกที่พุ่งสูงขึ้นหลังจากการระบาดของโควิด แรงกดดันด้านอุปทานที่ยืดเยื้อทำให้เงินเฟ้อผันผวนรุนแรงและต่อเนื่อง รวมถึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาโดยเปรียบเทียบ (relative price) อย่างต่อเนื่อง ความตึงเครียดทางการค้าโลก การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน นวัตกรรมทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงประชากร และการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจะยังสร้างแรงกดดันต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะต่อไปอย่างต่อเนื่อง

บทบาทที่เพิ่มขึ้นของ shocks จากปัจจัยเฉพาะ (idiosyncratic price shocks) และการเปลี่ยนแปลงของราคาโดยเปรียบเทียบ (relative price) ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงราคาในวงกว้างหมายความว่า อัตราเงินเฟ้ออาจเบี่ยงเบนจากกรอบเป้าหมายได้บ่อยขึ้นและนานขึ้น แม้ในระยะยาวจะยังคงยึดเหนี่ยวการคาดการณ์ได้

ดังนั้น ความสามารถของธนาคารกลางในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะให้อยู่ในกรอบแคบ ๆ จึงมีข้อจำกัดมากขึ้น ในบริบทเช่นนี้ จำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและความอดทนมากขึ้น ทั้งต่อขนาดของการเบี่ยงเบนจากกรอบเป้าหมายและระยะเวลาในการนำเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ผู้ดำเนินนโยบายต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการดำเนินนโยบายที่ถี่และละเอียดเกินความจำเป็น (fine-tuning) กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อจึงควรพัฒนาไปสู่รูปแบบที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยลดการเน้นย้ำต่อการบรรลุเป้าหมายเชิงตัวเลขที่แม่นยำ และเปิดโอกาสให้นโยบายการเงินสามารถมุ่งเน็นไปที่เป้าหมายในระยะปานกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยแนวทางนี้ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถมองผ่าน (look through) ภาวะเงินเฟ้อในช่วงโควิด และช่วยให้สามารถปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายกลับสู่ระดับที่เป็นกลาง (neutral policy rate) ได้อย่างราบรื่นและไม่เกินความจำเป็น (overshoot) อีกทั้งยังสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างรวดเร็วสู่ระดับก่อนโควิดได้ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน โดยไม่กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ประการที่สอง การเพิ่มความสามารถในการเชื่อมโยงของของระบบการชำระเงิน (payments interoperability) องค์ประกอบอีกสองประการของระบบการเงิน คือ MOP และกลไกในการโอนเงิน ซึ่งสามารถเรียกรวมกันอย่างไม่เป็นทางการว่า “ระบบการชำระเงิน” ได้มีการพัฒนานวัตกรรมและมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แนวโน้มสำคัญที่ระบบการชำระเงินจะพัฒนา

ต่อไปคือ ความสามารถในการเชื่อมโยง (interoperability) ซึ่งในที่นี้หมายถึง ความสามารถของ MOP ในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะแลกเปลี่ยนกันได้อย่างราบรื่นและเชื่อมโยงกับระบบข้อมูลอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่ม interoperability จะต้องตั้งอยู่บนเสาหลัก 3 ประการ ได้แก่ เสาหลักด้านเทคนิค ที่ช่วยให้ระบบต่าง ๆ สื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างราบรื่น เสาหลักด้านกฎหมาย ที่รับรองว่าสิทธิและภาระผูกพันของคู่สัญญาจะได้รับการคุ้มครอง แม้จะอยู่ใต้กรอบการกำกับดูแลที่อาจแตกต่างกัน และเสาหลักด้านเศรษฐกิจที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ให้บริการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมความเชื่อมโยง

ระบบการชำระเงินที่เชื่อมโยงกันได้ (interoperable) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกรรมดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย เช่น การโอนเงินในระบบหนึ่งสามารถเชื่อมโยงกับการโอนเงินในอีกระบบหนึ่งได้ (Payment-versus-Payment หรือ PvP) การเชื่อมโยงกับการโอนหลักทรัพย์ (Delivery-versus-Payment หรือ DvP) หรือการผูกธุรกรรมเข้ากับเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกำหนดไว้ล่วงหน้าในระบบข้อมูล (programmability) ความพยายามในการผลักดันให้เกิด interoperability ไม่ใช้เรื่องใหม่

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือเครื่อง ATM ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้เกิด ความเชื่อมโยงระหว่างเงินสดกับเงินฝากธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพการสร้าง PromptPay ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินแบบทันทีสำหรับรายย่อย (retail fast payment system) ของไทย ได้ยกระดับ interoperabilityระหว่างบัญชีเงินฝากธนาคารของแต่ละสถาบันการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นตัวพลิกเกมที่ทำให้การชำระเงินดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว

ปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือการพัฒนาระบบ QR code มาตรฐานเดียวสำหรับการชำระเงิน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยป้องกัน fragmentation ของระบบ แต่ยังช่วยให้ร้านค่าสามารถรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่ายเพียงแค่ใช้ QR code ที่พิมพ์ออกมา แทนที่จะต้องติดตั้งเครื่องรับชำระเงินที่มีต้นทุนสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการใช้งานในระบบเศรษฐกิจที่มีภาคส่วนนอกระบบขนาดใหญ่

ไทยยังให้ความสำคัญอย่างมากกับการเพิ่มความเชื่อมโยงของการชำระเงินระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่เดิม ในระดับรายย่อย ธปท. ได้ต่อยอดการชำระเงินระหว่างประเทศผ่าน QRcode โดยเชื่อมโยง PromptPay กับระบบการชำระเงินของ 8 คู่เชื่อมในเอเชีย ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถรับชำระเงินจากต่างประเทศได้อย่างราบรื่นเช่นเดียวกับธุรกรรมในประเทศ

การเชื่อมโยง PromptPay กับ PayNow ของสิงคโปร์ เป็นการเชื่อมโยงระบบ fast payment system ระหว่างประเทศครั้งแรกของโลก ประชาชนทั้งสองประเทศสามารถส่งและรับเงินได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมงด้วยต้นทุนต่ำ โดยใช้เพียงหมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับเงิน ในระดับพหุภาคี ธปท. กำลังดำเนินการ ผ่าน Project Nexus เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้การเชื่อมต่อเพียงครั้งเดียวสามารถ ทำให้ระบบ fast payment สามารถเชื่อมต่อไปยังของทุกประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดในเครือข่ายได้

ในระดับธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงิน (wholesale) ธปท. กำลังร่วมมือกับธนาคารกลางอีกสามแห่งผ่าน Project mBridge เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถขยายผลได้สำหรับการชำระเงินระหว่างประเทศบนเทคโนโลยี Distributed Ledger (DLT) ซึ่งแพลตฟอร์มนี้สามารถลดต้นทุนการชำระเงินลงได้ครึ่งหนึ่ง การชำระเงินสามารถทำได้ภายในไม่กี่วินาที และสามารถขจัดความเสี่ยงในการชำระเงิน(settlement risk) ออกไปได้ด้วยการทำธุรกรรมแบบ Payment-versus-Payment (PvP)

การใช้เทคโนโลยี DLTs ที่แพร่หลายขึ้น ส่งผลให้ interoperability ของระบบการชำระเงินในอนาคตจะมีความท้าทายหลักสองประการ ได้แก่ (i) interoperability ของเงินข้ามเครือข่าย DLTที่ต่างกัน (เช่น ผ่านระบบ “bridges” หรือ inter-ledger protocols) และ (ii) interoperability ระหว่างเครือข่าย DLT กับแหล่งข้อมูลภายนอก (off-chain) รวมถึงระบบการเงินแบบดั้งเดิม(เช่น ผ่าน ‘oracles’) ข้อแรกเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นในการรักษา “ความเป็นเอกภาพของเงิน” ที่เป็นโทเคน(tokenized form)

ส่วนข้อหลังเป้นพื้นฐานสำหรับ programmability การจัดการกับความท้าทายทั้งสองอย่างนี้จะช่วยให้การเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ดิจิทัลและมูลค่าระหว่างแพลตฟอร์มต่าง ๆ เกิดขึ้นได้พร้อมกัน ซึ่งมีศักยภาพช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบได้อย่างมากผ่านการลดความซับซ้อนของกระบวนการ clearing และ settlement

ในปัจจุบัน ธปท. กำลังสำรวจศักยภาพของฟังก์ชันการชำระเงินรูปแบบใหม์ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเงินเข้ากับเงื่อนไขข้อมูลต่าง ๆ ผ่านโครงการทดสอบนวัตกรรมทางการเงิน (enhanced regulatory sandbox)

หลักยึดและกรอบป้องกันสำหรับอนาคตของเงิน

เมื่อนึกถึงอนาคตของเงิน สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า แม้ระบบในปัจจุบันจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็ตั้งอยู่บนรากฐานที่มั่นคง ดังนั้น มาตรฐานสำหรับนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ จึงควรตั้งไว้ในระดับที่สูงเพียงพอ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเนื่องจากรูปแบบใหม่ ๆ ของเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตสามารถสร้างได้ทั้งความหวัง (hope) และความน่าตื่นเต้นเกินจริง (hype)

ขณะที่ กำลังพัฒนารูปแบบของเงินอย่างต่อเนื่อง ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอไปบั่นทอนหรือทำลายองค์ประกอบพื้นฐานที่ทำให้เงินทำหน้าที่ได้ดี สิ่งที่ถูกเสนอให้เป็นเงินรูปแบบใหม่ควรได้รับการประเมินอย่างรอบด้านภายใต้หลักการนี้ เช่น สกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrencies) ยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็น “หน่วยวัดมูลค่า UOA ที่มั่นคง” ได้อย่างแท้จริง ขณะที่ stablecoins ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียมูลค่าที่คงที่เมื่อเทียบกับ UOA ซึ่งอาจขัดกับหลักการ “ความเป็นเอกภาพของเงิน” แม้ว่าจะอิงกับสกุลเงินของประเทศที่มีอยู่แล้วก็ตาม

ระบบการเงินมีลักษณะเป็นลำดับขั้น (hierarchy) โดยที่เงินของธนาคารกลาง (เช่นเงินสดและเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์) อยู่ชั้นบนสุด ในระดับถัดลงมา คือ เงินฝากธนาคารซึ่งถือเป็นรูปแบบหนึ่งของสินเชื่อ คือ เป็นสัญญาว่าจะจ่ายเป็นเงินสด หรือให้การชำระหนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ผ่านการชำระดุลในบัญชีที่ธนาคารกลาง ส่วนในระดับถัดลงไปอีกเป็นเงินที่ออกโดยสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร เช่น เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) และ stablecoins ซึ่งเป็นสัญญาว่าจะจ่ายเป็นเงินฝากธนาคาร ในแต่ละลำดับขั้นนี้มีโครงสร้างกลไกเชิงสถาบันที่แตกต่างกันรองรับความน่าเชื่อถือของสัญญาว่าจะจ่ายนั้น ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ยังคงอ้างอิงกับรูปแบบของเงินที่อยู่ในระดับสูงกว่า

ทั้งนี้ ในภาวะปกติ ลำดับชั้นนี้อาจดูไม่สำคัญ แต่ในช่วงที่เกิดวิกฤต ความแตกต่างของสิทธิเรียกร้องในแต่ละระดับจะกลับมา แสดงบทบาทอย่างชัดเจน เมื่อผู้คนหันไปถือสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับสูงกว่าเพื่อความมั่นคง ด้วยเหตุนี้ เงินของธนาคารกลางจึงทำหน้าที่เป็น “หลักยึด” (anchor) ของระบบการเงินโดยรวม เงินทุกรูปแบบ ล้วนต้องพึ่งพาการเข้าถึงเงินของธนาคารกลางในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วงวิกฤต

ไม่ว่าอนาคตของเงินจะพัฒนาไปในทิศทางใด ผมมั่นใจอย่างยิ่งในสิ่งหนึ่ง นั่นคือ เงินของธนาคารกลางในฐานะศูนย์กลางจะยังคงอยู่ต่อไป (the continued centrality of central bank of money) และอนาคตของเงินจะไม่ใช่โทเคนดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ที่ไม่ได้ยึดโยงกับเงินของธนาคารกลางโดยสิ้นเชิง ธนาคารกลางจะยังคงมีบทบาทสำคัญที่ไม่สามารถให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้

ดังนั้น ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลจะต้องทำงานอย่างต่อเนื่องและแข็งขันต่อไป เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในระบบการเงิน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับระบบการเงินในอนาคตที่มีประสิทธิภาพ

ที่มา: อนาคตของเงิน (The Future of Money), สุนทรพจน์ของ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในงาน the Central Banking Summer Meetings เมื่อ 11 มิ.ย. 68

นโยบายที่เกี่ยวข้อง

นโยบายการเงิน (Monetary Policy)

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายการเงินผ่าน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยใช้เครื่องมือหลัก คือ ‘อัตราดอกเบี้ยนโยบาย’ เพื่อรักษาระดับราคาสินค้าและบริการ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปจนกระทบกับเศรษฐกิจ โดยกนง.มีการตั้งขึ้นเมื่อปี 2551 ทำให้การกำหนดนโยบายการงินของไทย "ก้าวสู่ยุคใหม่"

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

สินทรัพย์ดิจิทัล

สินทรัพย์ดิจิทัล เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น รัฐบาลจึงออกกฎหมายกำกับดูแลเพื่อควบคุมการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อดูแลการระดมเงินทุน และคุ้มครองนักลงทุนในประเทศ ในขณะเดียวกันเพื่อป้องกันไม่ให้กระทบเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางการเงิน

  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5

ผู้เขียน: