ThaiPBS Logo

สิทธิ ลาไปดูแล-ลาไปบอกลา ​ดูแลสุขภาพใจคนทำงาน

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศไทยควรให้สิทธิคนทำงาน “ลาไปดูแล” สมาชิกในครอบครัวหรือบุคคลใกล้ชิดที่เจ็บป่วยอย่างเป็นสิทธิพื้นฐาน เช่นเดียวกับสิทธิลาคลอด

  • เริ่มนโยบาย
  • วางแผน
  • ตัดสินใจ
  • ดำเนินงาน
  • ประเมินผล

เริ่มนโยบาย

ขั้นตอนเริ่มต้นนโยบาย ประกาศนโยบายต่อสาธารณะ

วางแผน

ขั้นตอนวางแผน เสนอแผนงานต่างๆ

ตัดสินใจ

ขั้นตอนดำเนินงานตามนโยบายที่ประกาศไว้

ดำเนินงาน

ขั้นตอนการตรวจสอบการทำงาน

ประเมินผล

ขั้นตอนการประเมินผลการดำเนินการตามนโยบาย

ภาพรวม

รายละเอียด

หากคนทำงานเจ็บป่วย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ให้สิทธิลาป่วยตามความจำเป็นจริง แต่ถ้าสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาเจ็บป่วย คนทำงานต้องพาไปหาหมอ ฟังคำวินิจฉัย เฝ้าไข้ เฝ้าผ่าตัด กฎหมายกลับไม่รับรองสิทธิให้ลางานเพื่อดูแลพวกเขา

ในปี พ.ศ. 2541 เมื่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ถือกำเนิด คนทำงานกว่า 40 ล้านคนดูแลเด็กวัยพึ่งพิงราว 10 ล้านคน และผู้สูงอายุ 5 ล้านคน การไม่ให้สิทธิวันลาไปดูแลอาจสมเหตุสมผลกับบริบทขณะนั้น แต่ในปี 2568 ประชากรพึ่งพิงวัยเด็กลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ขณะที่ผู้สูงอายุมีจำนวนถึง 13 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้สูงอายุเกิน 70 ปี ถึง 5.8 ล้านคน เรากำลังอยู่ในสังคมที่มีผู้ป่วยเรื้อรังและผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า

 

สิทธิ ลาไปดูแล”

ในเมื่อรัฐยังไม่รับรองสิทธินี้ คนทำงานจึงต้อง “ผัน” สิทธิลากิจ (3 วันต่อปี) หรือลาพักร้อน (ประมาณ 10 วันต่อปี) มาใช้ดูแลผู้ป่วยในครอบครัว ส่งผลให้เสียโอกาสในการใช้สิทธิลากิจและลาพักผ่อนตามวัตถุประสงค์ จะขอลาไปดูแลเพิ่มเติมได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับ “ความใจดี” ของนายจ้าง

ผลกระทบเกิดขึ้นทั้งต่อตัวผู้ป่วย คนทำงานอาจชะลอวันพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ ทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการลุกลาม รักษายากขึ้น เสี่ยงเสียชีวิตหรือประสบความพิการ ผู้ป่วยขาดผู้ช่วยสื่อสารกับแพทย์ ครอบครัวขาดโอกาสประชุมร่วมกันกับทีมแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเลือกปกปิดความเจ็บป่วยเพราะเกรงใจคนทำงานที่ต้องขอลาหยุดเพื่อมาดูแลตนเอง

เมื่อไม่สามารถลาไปดูแลได้ คนทำงานจึงยังคงทำงานด้วยความกังวล ไม่มีสมาธิ ส่งผลประสิทธิภาพการทำงานลด บางองค์กรจึงกำหนด “สิทธิลาฉุกเฉิน” หรือ “ลาไปดูแล” ไว้ แต่ก็ยังไม่ใช่สวัสดิการพื้นฐานทั่วประเทศ

สังคมจึงควรให้สิทธิคนทำงานลาไปดูแลไม่เกิน 15 วันต่อปีโดยได้รับค่าจ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถจัดการวิกฤตในครอบครัวได้โดยไม่ต้องวางใจไว้กับเมตตาของนายจ้างเป็นรายกรณี

 

สิทธิ ลาไปบอกลา”

คือสิทธิลาหยุดงานเพื่อไปดูแบุคคลอันเป็นที่รักในช่วงสุดท้ายของชีวิต (ผู้ป่วยระยะท้ายที่มีชีวิตไม่เกิน 1 ปี) เป็นสิทธิที่ควรมีในสังคมไทยที่ยึดถือคุณค่าของความกตัญญู การตอบแทนผู้มีพระคุณ และการจากไปอย่างมีความหมาย

การได้ใช้เวลาเคียงข้างกันในโมงยามสุดท้าย ได้ขอขมาลาโทษ ได้กล่าวคำอำลา หรือร่วมจัดงานศพอย่างเหมาะสม คือประสบการณ์ที่เยียวยาใจ และช่วยให้คนทำงานรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ลูกหลานอย่างสมบูรณ์ หากพลาดโอกาสนี้ คนจำนวนไม่น้อยอาจเผชิญกับ “ความรู้สึกผิด” และ “บาดแผลทางใจ” ที่ตามหลอกหลอนยาวนานหลายปี

 

ปัจจุบัน คนทำงานต้องใช้ลากิจหรือลาพักร้อนแทน แต่สิทธิเหล่านี้มักไม่เพียงพอ บางคนจึงวางแผนลาแบบระมัดระวัง หากผู้ป่วยเสียชีวิตเสียก่อนจะลางานได้ทัน   ผลที่ตามมาคือทั้งคนทำงานและผู้ป่วยสูญเสียโอกาสในการใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างมีคุณภาพ คนทำงานที่เสียสุขภาพจิตเพราะไม่มีโอกาสดูแลก็อาจลาออกจากองค์กรในเวลาต่อมา

สังคมที่ที่ไม่เปิดโอกาสให้คนทำงานลาไปดูแลบุพการี ส่งผลให้ลูกหลานจำนวนหนึ่งตัดสินใจลาออกมาเป็นผู้ดูแลผู้ป่วย ส่วนหนึ่งถูกบังคับให้ลาออกมาดูแล​ สูญเสียโอกาสการทำงานที่มั่นคง

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะให้สิทธิ “ลาไปบอกลา” คนทำงานในครอบครัว แก่คนทำงาน ปีละไม่น้อยกว่า 30 วัน (รวมถึงเวลาจัดงานศพ) โดยต้องได้รับการรับรองจากแพทย์ว่าเป็นผู้ป่วยระยะท้าย สิทธินี้จะเป็นหลักประกันว่า ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีครอบครัว จะไม่ตายอย่างเดียวดาย และคนทำงานจะไม่สูญเสียงานเพราะทำในสิ่งที่มนุษย์ควรทำ

 

ก้าวต่อไป สิทธิลาไปดูแล ลาไปบอกลา

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ กลุ่ม Peaceful Death ระบุว่า คนส่วนใหญ่คงไม่ปฏิเสธว่า “สิทธิลาดูแล” และ “ลาไปบอกลา” คือสิทธิที่คนทำงานควรได้รับ คำถามที่ต้องถกเถียงต่อไปคือ คนทำงานควรลาได้กี่วัน​ ควรได้รับค่าจ้างหรือไม่ ใครจะเป็นคนจ่าย และเงื่อนไขการลาคืออะไร

ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดย นางสาววรรณวิภา ไม้สน ได้บรรจุ “สิทธิลาดูแล” ไว้แล้ว และคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยหน้า ส่วน “สิทธิลาไปบอกลา” กลุ่ม Peaceful Death จะร่วมรณรงค์ต่อกับทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันให้เป็นจริงในอนาคต


Policy Forum

_