แนวนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกกำลังเกิดความไม่แน่นอนสูง หลังสหรัฐอเมริกาเตรียมใช้นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนและประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจโลก เพราะจะเกิดการตั้งภาษีสินค้านำเข้าตอบโต้กันระหว่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ไทยก็จะได้รับผลกระทบในระยะถัดไปผ่านทางจีนที่ได้เข้ามามีบทบาทในไทยมากขึ้น ทั้งด้านการค้า และการลงทุน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกบทวิเคราะห์ ความขัดแย้งทางการค้าโลกจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางใด ในรายงานนโยบายการเงินไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยนโยบายการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า (Tariff) ของสหรัฐอเมริกา กลับมาสร้างความกังวลให้กับทุกประเทศอีกครั้งนับตั้งแต่ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2
ในระยะสั้นคาดว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้ดุลการค้าของสหรัฐฯ ปรับดีขึ้น อุตสาหกรรมการผลิตและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ จะได้รับผลเชิงบวก แต่จะสร้างต้นทุนต่อเศรษฐกิจโลกในหลายด้านโดยเฉพาะการค้าโลกที่จะชะลอลง แต่นโยบายการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าดังกล่าว ยังมีความไม่ชัดเจนในหลายประเด็น เศรษฐกิจโลกจึงอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า หากสหรัฐฯ จีน และยุโรป เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าระหว่างกันที่ 10% และสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากประเทศอื่นอีก 10% จะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลง 0.4% และ 0.6% ในปี 2568 และ 2569 ตามลาดับ
ทั้งนี้ นโยบายการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าและความขัดแย้งทางการค้าโลก คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางการลงทุนและการค้าเป็นสำคัญ ดังนี้
1. การลงทุนจะได้รับผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาไทย แต่มีความเสี่ยงที่การลงทุนอาจชะลอลงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ตั้งแต่สงครามการค้าเริ่มขึ้นในช่วง ทรัมป์ ดำรงประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยแรก บริษัทจีนได้เริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ 3 เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ
โดยที่ผ่านมา ไทยได้รับผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี โดยตั้งแต่ปี 61 เม็ดเงินลงทุนจากบริษัทสัญชาติจีนเข้ามาไทยรวมกว่า 37.3 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 20.1% อีกทั้งใน 9 เดือนแรกของปี 67 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกบัตรส่งเสริมการลงทุนให้กับบริษัทสัญชาติจีนมากถึง 146.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 83.9 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 74.5%
เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงโลหะและวัสดุ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี การลงทุนของไทยมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง ผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและต่างชาติจึงอาจชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไปเพื่อรอประเมินความชัดเจนของนโยบายและทิศทางของเศรษฐกิจโลก
2. ไทยจะได้รับผลดีจากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ทดแทนจีน อีกทั้งการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนในไทยที่เพิ่มขึ้นมีส่วนช่วยให้การส่งออกไทยขยายตัว โดยตั้งแต่ปี 61 การส่งออกสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีจากไทยไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากทั้งผลของอุปสงค์สินค้าเทคโนโลยีของโลกที่เติบโตและการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในช่วงที่ผ่านมา โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 67 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีไปสหรัฐฯ 32% ของการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 60
แต่ไทยต้องเผชิญความเสี่ยง ที่สหรัฐฯอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้าต่อไทย หากสหรัฐฯ เห็นว่าไทยกลายเป็นช่องทางสำหรับจีนในการหลบเลี่ยงกำแพงภาษี โดยเฉพาะในกรณีสินค้าส่งออกที่นำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางจากจีนในสัดส่วนที่สูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และการส่งออกของไทยในอนาคต
3. ภาคการส่งออกและภาคท่องเที่ยวของไทยจะได้ผลลบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวจากการกีดกันทางการค้า โดยในปี 66 ไทยส่งออกไปจีนคิดเป็น 12.0% ของการส่งออกทั้งหมด นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่าหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน 30-60% จะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงราว 0.5-2.02%
ทั้งนี้ อุปสงค์การนำเข้าสินค้าจากไทยของจีนจะลดลงผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ อุปสงค์ต่อสินค้าขั้นสุดท้ายลดลง และอุปสงค์ต่อสินค้าขั้นกลางที่ถูกส่งออกไปจีนเพื่อผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง อาทิ สินค้าในหมวดยางและพลาสติก โลหะ และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร
ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทยมีโอกาสได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนเช่นกัน หากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนขยายวงกว้างจนกระทบความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและการเดินทางท่องเที่ยวของชาวจีน โดยในปี 67 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนสูงเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 19.3% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
4. ภาวะสินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยและอาเซียนที่รุนแรงขึ้น จากปัญหากำลังการผลิตที่ล้นเกิน โดยนับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มเมื่อปี 61 รวมถึงปัญหาอุปทานส่วนเกิน ทำให้ไทยและอาเซียนกลายเป็นที่ระบายสินค้าจากจีน ซึ่งหากนโยบายตั้งกำแพงภาษีมีความรุนแรงขึ้น มีความเป็นไปได้สูงที่จีนปรับตัวโดยส่งออกไปยังตลาดอื่นทดแทนสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น และจะยิ่งเป็นแรงกดดันต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตของไทยในระยะถัดไป ซึ่งปัญหาสินค้าจีนทะลักจะส่งผลลบต่อการผลิตและการส่งออกผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่
- ภาคการผลิตไทยถูกสินค้าจีนแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศ โดยหากเปรียบเทียบข้อมูลสัดส่วนการพึ่งพาการนำเข้าต่อมูลค่าจำหน่ายของไทยในปี 59-61 เทียบกับปี 66 พบว่า การบริโภคของไทยพึ่งพาสินค้านาเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาความต้องการในประเทศ อาทิ หมวดโลหะ รถยนต์นั่ง และเฟอร์นิเจอร์
- การส่งออกไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอาเซียนให้จีนเพิ่มขึ้น โดยอาเซียนและไทยเสียดุลการค้าให้กับจีนอย่างต่อเนื่องและยังคงมีแนวโน้มขาดดุลเพิ่มขึ้น โดยจากการประเมินพบว่า สินค้าที่ไทยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับจีนเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่ หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและหมวดเคมีภัณฑ์ สะท้อนจากสัดส่วนการส่งออกของไทยไปอาเซียนปรับลดลง แม้ว่าอุปสงค์สินค้าของอาเซียนจะเพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกของจีนไปอาเซียนกลับปรับเพิ่มขึ้นชัดเจน
ผลกระทบดังกล่าวข้างต้นสอดคล้องกับมุมมองของผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคส่งออก โดยในปี 68 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยที่ 2 มีความไม่แน่นอนและคาดการณ์ได้ยาก
ทั้งนี้สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงจากการระบายสินค้าจีนมาไทยและอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทั่วไปที่มุ่งกลุ่มตลาดมวลชน (mass market) ที่แข่งขันกับจีน และสินค้าที่มีปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ ยานยนต์ เหล็กและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
อย่างไรก็ดี มีบางสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากนโยบายกีดกันทางการค้า เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สหรัฐฯ ไม่ได้เก็บภาษีกับไทยโดยตรง จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะส่งออกทดแทนสินค้าจีนได้ ทั้งในสินค้าประเภทผักและผลไม้กระป๋องหรือแช่แข็ง น้าตาล และแป้งมันสาปะหลัง รวมถึงมีบางสินค้าที่ได้รับผลดีจากการย้ายฐานการผลิตมาไทยบ้างแล้วตั้งแต่มีนโยบายกีดกันการค้าในรอบก่อน อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ นโยบายการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของไทยผ่านอุปสงค์โดยรวมของโลกชะลอลง ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ปรับลดลง ขณะเดียวกันไทยอาจได้รับผลของการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าในประเทศปรับลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ยากอีกด้วย
โดยสรุป ความขัดแย้งทางการค้าโลกจะส่งผลกระทบต่อไทยผ่านช่องทางการส่งออกและการลงทุนเป็นหลัก แต่ขนาดของผลกระทบยังมีความไม่แน่นอนสูงเพราะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จะนำมาใช้จริง และขึ้นอยู่กับการตอบโต้และการปรับตัวของประเทศคู่ค้าด้วย สำหรับไทยจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องผ่านมาทางจีนเป็นหลักเนื่องจากมีความเชื่อมโยงสูงทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ หากผลกระทบรุนแรงขึ้นอาจนำไปสู่การลดการจ้างงานในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออก หรือภาคการท่องเที่ยวของไทยอาจไม่ขยายตัวมากเท่าที่คาดไว้ ส่งผลให้การจ้างงานและรายได้ลดลง ซึ่งจะกดดันกำลังซื้อของครัวเรือนและการบริโภคในระยะต่อไป
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- ไทยต้องยื่นข้อเสนอการค้า ทางรอดจากภาษีทรัมป์ 2.0
- ไทยกระทบแค่ไหน? สหรัฐฯขึ้นภาษีป่วนการค้าโลก
- เศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งสหรัฐ เตรียมรับสงครามการค้า
ที่มา : รายงานนนโยบายการเงินไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)