สหรัฐฯ ยังคงดำเนินมาตรการกีดกันการค้าและการลงทุนต่อจีนอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ การผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เหล็กกล้า อุปกรณ์การแพทย์ นับว่าเป็นสงครามการค้ารอบใหม่ต่อเนื่องจากสมัย โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนก่อน
สหรัฐได้ประกาศมาตรการทางการค้าต่อจีน ขณะที่จีนมีการตอบโต้เช่นเดียวกัน ทำให้ตลาดคาดว่าความขัดแย้งรุนแรงทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกจะรุนแรงขึ้นอีกครั้ง
สหรัฐฯ ยังจำกัดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงการลดผลกระทบจากปัญหากำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมส่วนเกินของจีนซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาการทุ่มตลาด รวมถึงการลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ต่อจีน โดยมาตรการที่สำคัญ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 สรุปได้ ดังนี้
สงครามการค้ากับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าของไทยและกลุ่มประเทศ ASEAN
การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงยืดเยื้อต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2560 จนกระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2567 สหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการปกป้องธุรกิจและแรงงานในประเทศ โดยการขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่กับจีน ส่งผลให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างทั้งสองประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ทั้งสองประเทศมีการนำเข้ามากขึ้นจากประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศใน ASEAN และไทย โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนที่สหรัฐฯ มีการนำเข้าจาก ASEAN (ไม่รวมไทย) พบว่า 1) เซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25.40 ในช่วงก่อน Trade War เป็นร้อยละ 46.11 ในช่วงหลัง COVID-19 2) โทรศัพท์และชิ้นส่วน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.02 ในช่วงก่อน Trade War เป็นร้อยละ 21.80 ในช่วงหลัง COVID-19
นอกจากนี้ มีหลายสินค้าที่สัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จากไทยเพิ่มขึ้น เช่น 1) เซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.10 ในช่วงก่อน Trade War เป็นร้อยละ 12.56 ในช่วงหลัง COVID-19 และ 2) แผงวงจรรวม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.51 ในช่วงก่อน Trade War เป็นร้อยละ 4.33 ในช่วงหลัง COVID-19 เป็นต้น
อย่างไรก็ดี พบว่า มีหลายสินค้าที่สัดส่วนสหรัฐฯ มีการนำเข้าจาก ASEAN (ไม่รวมไทย) เพิ่มขึ้นมากกว่าสัดส่วนที่นำเข้าจากไทย เมื่อเทียบช่วง Trade War กับช่วงหลัง COVID-19 เช่น โทรศัพท์และชิ้นส่วน เครื่องประมวลข้อมูลอัตโนมัติ และหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นต้น
ขณะเดียวกันพบว่าในสินค้าประเภทเดียวกัน ไทยมีสัดส่วนการน าเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น 1) เซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบ ที่มีสัดส่วนการนำเข้าจากจีนในช่วงหลัง COVID-19 อยู่ที่ร้อยละ 8.59 จากร้อยละ 2.93 ในช่วงก่อน Trade War 2) เครื่องปรับอากาศ มีสัดส่วนการน าเข้าจากจีนในช่วงหลัง COVID-19 อยู่ที่ร้อยละ 13.83 จากร้อยละ 4.37 ในช่วงก่อน Trade War และ 3) โทรศัพท์และชิ้นส่วน มีสัดส่วนการน าเข้าจากจีนในช่วงหลัง COVID-19 อยู่ที่ร้อยละ 12.68 จากร้อยละ 10.99 ในช่วงก่อน Trade War
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากการขาดดุลหรือเกินดุลการค้า1 กับทั้งสองประเทศ พบว่า ประเทศส าคัญของ ASEAN ส่วนใหญ่มีการขาดดุลจากจีนและเกินดุลจากสหรัฐฯ เร่งขึ้นหลังจากช่วงก่อนโควิด-19 โดยมูลค่าดุลการค้าปี 2566 พบว่า
- เวียดนาม ขาดดุลจากจีน อยู่ที่ 59,973 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากสินค้า เช่น โทรศัพท์และชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กรีด เป็นต้น ขณะที่เกินดุลจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 94,982 ล้านดอลลาร์ จากสินค้า เช่น โทรศัพท์และชิ้นส่วน และเซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบ
- ไทยขาดดุลกับจีนอยู่ที่ 37,305 ล้านดอลลาร์ สรอ. จากสินค้า เช่น โทรศัพท์และชิ้นส่วน รถยนต์และยานยนต์ และเซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น ขณะที่เกินดุลจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 27,992 ล้านดอลลาร์จากสินค้า เช่น โทรศัพท์และชิ้นส่วน เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และยางนอกชนิดอัดลม เป็นต้น
- มาเลเซียขาดดุลจากจีน อยู่ที่ 14,584 ล้านดอลลาร์ จากสินค้า เช่น น้ำมันปิโตรเลียม โทรศัพท์และชิ้นส่วน เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ เป็นต้น ขณะที่เกินดุลจากสหรัฐฯ อยู่ที่ 15,928 ล้านดอลลาร์ จากสินค้า เช่น แผงวงจรรวม โทรศัพท์และชิ้นส่วน และเซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบ เป็นต้น อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบดุลการค้าทั้งจีนและสหรัฐฯ
ทั้ง 3 ประเทศในปี 2566 พบว่า เวียดนามและมาเลเซีย มีมูลค่าเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ สูงกว่าการขาดดุลการค้าจากจีน 35,009 ล้านดอลลาร์และ 1,344 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ ขณะที่ไทยขาดดุลการค้าจากจีนมากกว่าเกินดุลจากสหรัฐฯ 9,313 ล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นว่าทั้งเวียดนามและมาเลเซียมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์จากสถานการณ์การเบี่ยงเบนทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มากกว่าไทย
กล่าวโดยสรุปพบว่า การเบี่ยงเบนทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศในกลุ่ม ASEAN โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่สหรัฐฯ ลดการนำเข้าจากจีน โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยสินค้าที่ไทยได้รับผลประโยชน์มากขึ้น (สัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จากไทยเพิ่มขึ้น) เช่น เซมิคอนดักเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรรวม และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี พบว่ามีบางสินค้าที่ ASEAN และไทยได้รับผลประโยชน์ แต่ ASEAN ได้รับประโยชน์มากกว่าไทย (การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จาก ASEAN มากกว่าการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนการนำเข้าจากไทย) เช่น โทรศัพท์และชิ้นส่วน เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ และหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นต้น และบางสินค้าที่ ASEAN ได้รับผลประโยชน์มากขึ้น
ขณะที่ไทยได้รับผลประโยชน์ลดลง (สัดส่วนการนำเข้าของสหรัฐฯ จาก ASEAN เพิ่มขึ้น ขณะที่สัดส่วนการนำเข้าจากไทยลดลง) เช่น ยางนอกชนิดอัดลม เป็นต้น
นอกจากนี้แม้ว่าไทยจะเกินดุลจากสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไทยก็ยังคงเป็นประเทศที่มีการขาดดุลการค้าจากจีนมากกว่า โดยส่วนหนึ่งมาจากสินค้าที่ไทยเกินดุลจากจีนยังคงเป็นสินค้าเกษตรที่มูลค่าเพิ่มไม่มาก ขณะที่ชนิดสินค้าที่ไทยขาดดุลจากจีนจะเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและมูลค่าเพิ่มสูง
ดังนั้น เพื่อให้ไทยสามารถได้รับประโยชน์จากสถานการณ์การเบี่ยงเบนทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯมากขึ้น การเสริมสร้างขีดความสามารถของภาคเกษตรและอุตสาหกรรมของไทยจากภาครัฐ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี องค์ความรู้ และแรงจูงใจภาคเอกชน จะทำให้ไทยสามารถพัฒนาและส่งออกสินค้าภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่อาศัยเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ซับซ้อนและสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงขึ้นซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ไทยสามารถเข้าร่วมห่วงโซ่มูลค่าในตลาดโลกได้มากขึ้นในระยะถัดไป